มาการอง ขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศส
มาการง (Macaron) มีประวัติศาสตรยาวนานหลายร้อยปี และช่วง 5-6 ปีมานี้ ชาวปารีสและเหล่าฟู๊ดดี้ในประเทศโลกเจริญแล้ว ต่างคลั่งไคล้ใหลหลงคุกกี้ชิ้นเล็กๆ กลมๆ 2ชิ้นประกบกัน ตรงกลางมีไส้ หน้าตาเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ รสหวาน สีสันสดใส และราคาสูงจนน่าตกใจ และวันนี้ร้านขนมในเมืองไทยหลายร้าน เริ่มผลิตมาการงออกวางขายกันไม่น้อย แม้ผู้บริโภคจะยังไม่ต่อคิวรอซื้อมากินกันเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม
โดยตัวขนมมาการง มีความงาม”ภายนอก”และ”ภายใน”เริ่มจากภายนอก ผิวเนียนและเงางามเหมือนเปลือกไข่ ไม่มีรอบแตกหรือร้าว ถ้าเจอแบบผิวตะปุ่มตะป่ำเหมือนหนังคางคกนี้ไม่ได้เลยน่ะ เพราะแสดงถึงถึงความไม่เอาใจใส่ในการบดและร่อนแป้งแอลมอนด์ หรือร้านไหนที่ขายมาการงที่มียอดแหลมเป็นจุก จากการบีบที่ชี้ให้เห็นว่าผสมแป้งแบบใจเสาะ ไม่ได้ที่ มองจากด้านข้างเข้าไปแล้ว ยอดค่อนข้างแบนไม่โค้งเป็นโดม มาถึงส่วนที่ติดกับครีม (ส่วนล่างสุดของคุ้กกี้ทั้ง 2 ชิ้นที่มาประกบกัน) เรียกว่า “เท้า” ของมาการง ต้องเป็นเนื้อฟู ระบาย มีความสูงพอๆกัน แต่ไม่มากกว่าส่วนเนียน และไม่ควรจะแผ่ส่วนที่เนียนออกมามาก (อบไม่ได้อุณหภูมิที่พอเหมาะ) สุดท้ายคือ คุ้กกี้ต้องเป็นสีเดียวกันทั้งชิ้น ไม่มีลักษณะที่โดนความร้อนเลียจนซีด หรือไหม้
มากางรงส่วนใหญ่สอดไส้ช็อกโกแลต เพราะฉะนั้นเวลากิน คสสรกินที่อุณหภูมิห้อง(ฝรั่ง)ประมาณ 20-25 องศา คือนำออกมาจากตู็เย็นมาตั้งไว้ประมาณ 30นาที ถึง 1 ชม. เมื่อกัดเข้าไปแล้ว สัมผัสได้ คือ ความกรุบเฉพาะผิวแต่เมื่อถึงเนื้อข้างในต้องให้ความรู้สึกที่นุ่มลักษณะละลายปาก ไม่ให้ความรู้สึกเหนียวหรือขัดขืนต่อต้านการเคี้ยว เนื้อจะต้องเต็ม ไม่มีโพรงอากาศอยู่ระหว่างเปลือกกับฐาน ถ้าร้านไหนขายมาการงที่แข็ง หรือเคี้ยวแล้วดังกร้วมๆ ให้หยุดกิน ส่วนรสชาติของไส้นั้นแล้วแต่คนชอบ เมื่อรับทราบถึงจุดนี้แล้ว ก็เข้าใจเลยว่าทำไม๊ ทำไม ราคาขายของมาการงถึงแพง ตอนนี้ถึงกับร้อง “อ๋อ” เลย ความใส่ใจในทุกขั้นตอนจริงๆ น่ายกย่องมากค่ะสำหรับขนมมาการง ขอบคุณเนื้อหาจาก Wallpaper Magazine
เครดิส : bas121
ถ้าย้อนไปตอนที่เราประถม,มัธยม เวลาจะจากกับเพื่อนๆ จะมีให้เขียนFriendshipกัน เวลาเขียน แต่ละคนก็จะใส่ข้อมูลต่างๆเป็นของตัวเอง หนึ่งในหัวข้อฮิตที่เพื่อนๆผมรวมทั้งตัวผมนิยมเขียนกัน คือ อาหารที่ชอบคืออะไร
ตอนนี้อาจจะไม่ใช่วัยที่เขียนFriendshipแล้ว แต่หากย้อนเวลากลับไปตอนนั้น ผมคงเขียนชัดเจนว่า อาหารโปรดผมคือของหวานทุกชนิด โดยเฉพาะของหวานชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า "Macaron" เพื่อนชาวต่างชาติของผมเวลานำมือถือผมไปเล่น จะมีแต่ภาพมากาคองรสชาติต่างๆจากร้านนู้นร้านนี้เต็มมือถือไปหมด จนเค้าเรียกผมว่า Mister Macaron
ผมยังจำวันแรกที่กัดขนมชนิดนี้ได้ ที่Lord Jim's โรงเรียนOriental เป็นความรู้สึกที่ ว๊าววมากๆ ขนมอะไร จะทั้งหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แถมกัดเข้าไปพบกับความนิ่มของเนื้อขนมที่ละลายได้ในปาก และยิ่งไปเจอไส้ตรงกลางแสนอร่อยแล้ว นับแต่วันนั้นจนวันนี้ มากาคองจึงกลายเป็นสิ่งเสพติดประเภทที่1สำหรับผม ที่ต้องทานแทบทุกมื้ออาหาร
จนวันที่ผมมาอยู่ต่างประเทศ เมืองที่ผมอยู่เมืองAuckland ประเทศนิวซีแลนด์ หาขนมชนิดนี้ทานได้ยากมากถึงไม่มีเลย อยากทานต้องขับรถเป็นชั่วโมงออกไปนอกเมือง ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งซึ่งมีคนฝรั่งเศสมาทำมากาคองขาย ซึ่งผมก็ไม่สามารถไปไกลได้ขนาดนั้น เพราะหลงแน่ๆ
เหตุการณ์ทั้งปวง จึงชักนำให้ผมต้อง....หัดทำขนมชนิดนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากในชีวิตนี้ผมทำอาหารเป็นอยู่อย่างเดียว...คือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมไม่มีพื้นฐานทางการทำอาหารหรือขนมใดๆทั้งสิ้น แต่นี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยของผม ผมเชื่อว่าถ้าเรารักที่จะทานสิ่งใด เราจะทำสิ่งๆนั้นได้ดี และทำมันได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน
ด้วยความอยากทานขนมชนิดนี้เอามากๆ จึงวิ่งออกไปซื้อหนังสือคู่มือการทำมากาคองจากร้านหนังสือในเมืองAuckland แล้วเริ่มหัดทำอยู่หลายครั้ง
มีหลายๆเรื่องราวเกิดขึ้นกับผม ทั้งความล้มเหลวไม่เป็นท่า ความสนุกสนานจากการได้ลงมือทำสิ่งที่ผมชอบทานที่สุดด้วยมือของเราเอง บทเรียนหลายๆอย่าง ก่อนที่จะออกมาเป็นมากาคองชิ้นสวยเหมือนต้นฉบับ
ผมเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ที่รักที่จะทาน รักที่จะทำ ขนมชิ้นเล็กๆ หวานๆนี้ครับ ไปพบกับเรื่องราว หลายๆด้าน ผ่านขนมหวานๆชิ้นเล็กๆนี้พร้อมกันเลยคร้าบบ
|
ในยุคข้าวยากหมากแพง ช่วงFrench revolution ที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นมิชชันนารีชาวอิตาลี ที่อาศัยในฝรั่งเศสหาวิธีทำดำรงชีพจากAlmond น้ำตาล และไข่ขาว ซึ่งเป็นของราคาไม่แพง แต่มีคุณค่าทางอาหาร จึงริเริ่มนำสามอย่างนี้มาตีรวมกันและอบในเตาอบ ออกมาเป็นขนมรูปร่างคล้ายจานบิน ด้านนอกกรอบนิดๆ กัดเข้าปด้านใน ทุกอณูนิ่มละลายในปากทันที ด้วยรสชาติที่หอมหวานลงตัว และวัตถุดิบที่หาง่ายในยุคนั้น ราคาไม่แพง macaronจึงได้รับความนิยมแพร่หลาย
จนกระทั่งต่อมา มีผู้นำmacaronสองอันมาประกบกัน แล้วทำไส้ อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นรูปแบบขนมmacaronที่รับประทานมาจนทุกวันนี้
macaronยุคใหม่ ถูกปฏิวัติให้เจ๋งยิ่งขึ้นโดยพ่อมดของหวานชาวฝรั่งเศส
Piere Herme' ซึ่งนำผลไม้จากทุกมุมโลกมาสร้างสรรค์macaronรสชาติต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นขนมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ปัจจุบันขนมชนิดนี้เป็นทั้งของหวานแสนอร่อย เป็นทั้งแฟชั่น ที่เชฟเทพๆทั้งหลายแข่งกันครีเอตหน้าตา และรสชาติออกมาอย่างสวยงาม
หลายๆท่านนิยมอ่านว่า มาการูน ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า มาการูน ไปตรงกับขนมอีกชนิดหนึ่งในอเมริกาเหนือ หน้าตาคล้ายคุ้กกี้มะพร้าวสองอันประกอบกัน แต่หลายๆประเทศก็มักหยวนๆเรียกเจ้าขนมชนิดที่เราพูดถึงกันอยู่ว่า มาการูนซะเลย แต่ในฝรั่งเศส จะออกเสียงอ่านว่า มา-กา-คอง
|
ประเทศฝรั่งเศสจัดเป็นหนึ่งในเมืองหลวงด้านอาหารของโลก คนที่นี่ใส่ใจกับศิลปะการรับประทานเป็นชีวิตจิตใจ และโดยเฉพาะของหวาน ร้านขนมขั้นเทพระดับโลกมีอยู่ทุกมุมตึกในกรุงParis และมีคำกล่าวกันว่า แต่ละร้านจะวัดกันว่าร้านใดเจ๋งกว่ากัน ที่คุณภาพmacaronในร้านนั้นๆ ฉะนั้นในกรุงParis เจ้าขนมชิ้นเล็กๆคล้ายคุ้กกี้นี้ จึงไม่ใช่แค่ขนม แต่กลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งไปซะแล้ว
|
คือ ร้านของ Pierre Herme ซึ่งได้รับฉายา Master of Macaron
ร้านขนมของHermesมีสาขาทั่วยุโรป
และขนมMacaronหมดเกลี้ยงร้านทุกวัน
|
เช่น ร้านLeNorthe สยามพารากอน
หรือที่โรงแรมOriental ซึ่งเชฟขนมของOriental hotel ใช้สูตรของ
Piere Herme คุณภาพMacaronที่นี่ จึงเท่าเทียมกับที่ฝรั่งเศส
สำหรับผมแล้ว เป็นMacaronที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยทานมา
ผมถึงกับต้องห่อกลับบ้านไปทานก่อนนอน ช่วงอยู่ไทยผมทานMacaronไม่ต่ำกว่าวันละ10ชิ้น จนติดเป็นนิสัย ต้องได้ทานก่อนนอน
ปัญหาคือที่Auckland ไม่มีใครทำMacaronเป็น ไม่มีร้านไหนขาย
Searchในgoole มีคนฝรั่งเศสที่ทำmacaronขายก็อยู่นอกเมืองไปไกลมากๆ
ในที่สุด ผมจึงต้อง...ลงมือทำเอง ทั้งที่have no idea เกี่ยวกับการทำขนมหรือทำอาหารใดๆทั้งสิ้น เริ่มต้นแบบคนไม่รู้อะไรเลย
น่าจะเป็น LeNotre สยามพารากอน
|