ความสำเร็จวัดกันที่กระบวนการ สไตล์สมองไหล
หลายคนมักถามผมว่า ผมมีเคล็ดลับการตั้งเป้าหมายอย่างไรถึงทำสำเร็จได้ คำตอบอันเรียบง่ายของผมก็คือ ผมไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรเลยครับ เอาจริงๆ การตั้งเป้าหมายของผมค่อนข้างยืดหยุ่นมากๆ ไม่ได้มีอะไรตายตัวเลย เพราะผมจะให้ความสำคัญที่ “กระบวนการ”มากกว่า
การตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าตัวเองกำลังเดินไปทางไหน หากเราไม่ได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนว่าเราจะไม่มีวันเดินทางไปถึง
อย่างไรก็ตาม การรู้ว่าจะเดินทางไปไหน ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปถึง เพราะถ้าเราไม่มีแผนที่ เราก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไปอย่างไร เหมือนเวลาคุณจะเดินทางไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่คุ้นเคย สิ่งที่คุณจะทำทุกครั้งคือการเปิด Google Map
แต่น่าแปลกที่เวลาเราตั้งเป้าหมายชีวิต เรามักจะมุ่งเน้นที่เป้าหมาย แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับแผนที่สักเท่าไหร่ เป้าหมายคือผลลัพธ์ บางคนอาจจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจตอนอายุ 25 ปี บางคนอาจจะอยากมีเงินล้านตอนอายุ 30 ปี หรือบางคนอาจจะอยากเกษียณตัวเองก่อนอายุ 40 ปี แต่คนเราจะไปถึงเป้าหมายได้นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ “ผลลัพธ์” แต่อยู่ที่ “กระบวนการ”
โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายระยะสั้นมากกว่าระยะยาว แต่ถ้าถามว่ามีเป้าหมายระยะยาวไหม อย่างการเป็นเจ้าของธุรกิจ การมีเงินล้าน หรือแม้กระทั่งการมีอิสรภาพทางการเงินจนเกษียณตัวเองได้
คำตอบคือ “มี”
แต่ผมจะโฟกัสที่เป้าหมายระยะสั้นมากกว่า เพราะผมมองว่าต่อให้เราวางเป้าหมายระยะยาวเอาไว้ พอถึงเวลาจริงๆ เราไม่ค่อยได้ทำตามแผนหรอก เพราะสถานการณ์มันเปลี่ยนไปตลอด เอาแค่ในปี 2020 เป้าหมายที่ผมวางไว้ตอนต้นปี ผมก็ไม่ได้ทำสักอย่าง และเป้าหมายที่หลายคนเห็นว่าผมทำสำเร็จตอนสิ้นปี ผมก็ไม่ได้วางไว้ช่วงต้นปีด้วยซ้ำ
ตอนแรกผมตั้งเป้าหมายว่า จะทำงานประจำที่ปัจจุบันจนถึงสิ้นปี 2020 แล้วจะย้ายงานเพื่อไปหาประสบการณ์เพิ่ม เก็บเงินออมโดยการหัก 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินเดือน จากนั้นทำงานประจำต่อไปอีกสัก 3 ปีแล้วค่อยออกมาทําธุรกิจ
แต่ไปๆ มาๆ ช่วงโควิด-19 งานอดิเรกของผมซึ่งเป็นการเขียนบทความในเพจกลับมียอดผู้ติดตามจากหลักพันขึ้นมาเป็นหลักแสนซะอย่างนั้น
ผมจึงคิดโมเดลธุรกิจคือการขายหนังสือผ่านเพจเพื่อเป็นรายได้เสริมตั้งเป้าหมายว่าแค่มีรายได้เสริมเป็นเงินเก็บสักเดือนละ 3,000 บาทก็พอแล้ว
แต่ทำไปทำมารายได้มันกลับแซงงานประจำเฉยเลย จนผมตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าอีก 3 ปี จะเริ่มเขียนหนังสือของตัวเอง แต่ทำไปทำมา พอรายได้มันดันแซงงานประจำไปจนถึง 6 เท่า แถมผมเริ่มจะมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามามากมาย จากที่คิดว่าอีก 3 ปีจะเขียนหนังสือของตัวเอง กลายเป็นเริ่มเขียนตั้งแต่ 3 เดือนหลังจากนั้นเลย สุดท้ายตอนแรกที่ว่าจะย้ายงานใหม่เพื่อเก็บประสบการณ์กลับกลายเป็นลาออกมาทําธุรกิจและเขียนหนังสือไปเลย
เชื่อไหมว่า เป้าหมายทางธุรกิจ การทํางาน การเงิน ยอดผู้ติดตามที่สำเร็จในปี 2020 ผมเพิ่งจะตั้งเป้ามันเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2020เท่านั้นเอง
จะว่าไปชีวิตคนเราก็พลิกผันมากๆ เราไม่รู้เลยว่าเดือนหน้าหรือปีหน้า เราจะเจอกับโอกาสหรือวิกฤตอะไรบ้าง ผมจึงค่อนข้างจะยืดหยุ่นกับการตั้งเป้าหมายมากๆ เพราะคิดเสมอว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนได้ตลอด ผมจึงเน้นการปรับตัวเร็วมากกว่า คือไม่ได้ยึดติดว่า อายุ 45, 50, 60 ปี จะต้องเป็นอะไร
เพราะผมมองว่าการตั้งเป้าหมายใหญ่ไปถึงได้ยาก ที่สำคัญคือเราจะมองไม่ค่อยเห็นเส้นทางด้วย เหมือนเป็นการโยนหินถามทางเสียมากกว่า แต่ถ้าเราโฟกัสกับการทำเป้าหมายเล็กๆ ให้สำเร็จก่อน มันจะทำให้เราเริ่มมีวิสัยทัศน์และมองเห็นเส้นทางยาวไกลมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อทำเป้าหมายเล็กสำเร็จ มันจะก่อร่างสร้างฐานเป็นผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายใหญ่เอง
ผมจึงเน้นการตั้งเป้าหมายแบบปีต่อปี ซึ่งภายในปีนั้นก็จะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด แต่จุดหมายปลายทางหลักก็ยังคงอยู่ เหมือนการเดินทางนั่นแหละ บางทีคุณเดินทางตามแผนที่ไปแล้วบังเอิญเจอทางลัดระหว่างทาง คุณก็เปลี่ยนเส้นทางเพื่อให้ถึงเร็วขึ้น แต่บางครั้งคุณอาจจะพบว่าเส้นทางเดิมถูกปิด คุณก็ต้องหาเส้นทางใหม่ หรือไม่บางทีคุณก็อาจจะหลงทางจนต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นส่วนประกอบที่ทำให้คุณเดินทางไปถึงจุดหมายหลักที่วางไว้ในที่สุด
พูดง่ายๆ คือ ใช้วิธีการตั้งเป้าหมายแบบสตาร์ตอัพ กล่าวคือ ตั้งเป้าหมายระยะสั้น ทดลองลงมือทำ และปรับใหม่ตามสถานการณ์โดยใช้ต้นทุนให้น้อยที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ชอบตั้งเป้าหมายแบบมหาชนแล้วก็ชอบมาอ้างทีหลังว่าต้นทุนไม่พอ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมจึงแบ่งวิธีการตั้งเป้าหมายที่ใช้อยู่ออกเป็น 3 ขั้นตอน เป็นรูปธรรมมากที่สุดครับ เพื่อให้การตั้งเป้าหมายนั้นมีกระบวนการที่...
- ย่อยเป้าหมายให้เล็ก
หลายคนอาจจะคิดว่าเราควรตั้งเป้าหมายใหญ่ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี หรือ ที่เรียกกันว่า Moon shot เช่น จะเขียนหนังสือให้ได้ 1 เล่ม เก็บเงินให้ ได้ 1 แสนภายใน 1 ปี วิ่งให้ได้วันละ 5 กิโลเมตร เพิ่มยอดผู้ติดตามเพจ ให้ได้ 1 แสน ซึ่งแต่ก่อนผมก็เคยตั้งแบบนี้ครับ แต่สุดท้ายก็พบว่าทําไม่ สําเร็จสักอย่าง เพราะในใจเราคิดอยู่แล้วว่า “คงทําไม่ได้หรอก” และ คิดว่าถ้าจะทําให้สําเร็จก็ต้องใช้เวลา จึงทําให้เราไม่เริ่มทํามันเสียที
ตามหลักวิทยาศาสตร์พบว่า สมองคนเราจะหลั่งสารโดพามีน (สารสําเร็จ) ออกมา เมื่อเราทําภารกิจสําเร็จหรือได้รับในสิ่งที่ต้องการ ซึ่ง สารโดพามีนนี่แหละจะทําให้เราเกิดแรงบันดาลใจในการทําเป้าหมายต่อไป ยิ่งสารโดพามีนหลังออกมามากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถทําเป้าหมายสําเร็จได้มากเท่านั้น
ฉะนั้นถ้าเราไปตั้งเป้าหมายที่ยากเกินไปและต้องใช้เวลานานก็จะ ทําให้โดพามีนไม่หลั่งออกมา และกลายเป็นความเครียดแทน สุดท้าย มันก็ทําให้เราหมดกําลังใจไม่อยากทําต่อ การตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้เรา สําเร็จได้บ่อยๆ จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายเล็กที่ว่าก็ไม่ใช่ว่าง่ายจนเกินไป เพราะไม่ อย่างนั้นเราก็จะไม่รู้สึกว่ามันคือความสําเร็จจริงๆ เหมือนกับการเล่นเกมที่ง่ายเกินไปก็น่าเบื่อ
ตัวอย่างเช่น จากเขียนหนังสือให้ได้ 1 เล่ม ก็เปลี่ยนเป็นเขียน บทความให้ได้วันละ 1 บท จากเก็บเงินให้ได้ 1 แสน ก็เปลี่ยนเป็นเก็บให้ได้วันละ 100 บาท จากวิ่งให้ได้วันละ 5 กิโลเมตร ก็เปลี่ยนเป็นเอา ตัวออกไปวิ่งให้ได้วันละ 15 นาที จากเพิ่มยอดผู้ติดตามให้ได้ 1 แสนก็ เปลี่ยนเป็นเพิ่มผู้ติดตามให้ได้วันละ 500 คน หรือแม้กระทั่งทํายอดขาย หนังสือให้ได้ 1,000 เล่มภายใน 1 เดือน แต่แบ่งออกมาว่าจะต้องขาย ให้ได้วันละ 35 เล่ม
จะเห็นว่าเป้าหมายนั้นไม่ได้ง่ายกว่าเดิม แต่มันเล็กกว่าเดิมเท่านั้นเอง ซึ่งพอเราทําเป้าหมายเล็กๆ สําเร็จบ่อยๆ แล้ว ธรรมชาติของเราจะอยาก เพิ่มระดับความยากของมันเองโดยอัตโนมัติ
- กําหนดระยะเวลา
การตั้งเป้าหมายในข้อ 1 จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่กําหนด ระยะเวลาว่าจะทําให้สําเร็จเมื่อไหร่ เพราะถ้าเราไม่กําหนดระยะเวลาไว้ สุดท้ายมันก็จะวนกลับมาที่การผัดวันประกันพรุ่งแล้วไม่ได้เริ่มทําเสียที่
เช่น เขียนบทความให้ได้วันละ 1 บท เพื่อให้สามารถรวมเป็นหนังสือ 1 เล่มได้ภายใน 2 เดือน หรือจะทํายอดผู้ติดตามให้ได้วันละ 500 คน เพื่อให้ครบ 1 แสนภายในสิ้นปี 2020
การกําหนดระยะเวลาจะทําให้เราตื่นตัวและมีแรงบันดาลใจมากขึ้น เพราะระยะเวลาที่เป็นเส้นตายจะทําให้เกิดแรงผลักดันทางความรู้สึก ทําให้สารนอร์อะดรีนาลิน (สารเพิ่มสมาธิ) หลั่งออกมา ส่งผลให้เราโฟกัสเป้าหมายได้มากขึ้นและทําตามได้สําเร็จ
- ทํา TO DO
ที่โต๊ะทํางานของผมจะติดกระดาษหนังไก่แผ่นใหญ่ไว้ที่ผนังห้องด้านข้าง แล้วแบ่งเป็น 3 ช่องคล้ายๆ กับโปรแกรม Trello คือ To do | Doing | Done โดยเขียนเป้าหมายใส่โพสต์อิตแปะเอาไว้ตามช่องที่ เหมาะสม เรามีเป้าหมายอะไรบ้างอยู่ในช่อง To do แล้วเป้าหมายอะไรที่กําลังทําอยู่ในช่อง Doing และสุดท้ายคือ เป้าหมายอะไรที่ทําสําเร็จ Done และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนโพสต์อิตจาก Doing ไปยัง Done คือ ช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ เพราะโดพามีนหลั่งออกมาเต็มไปหมด
การทํา TO DO จะทําให้เราเห็นภาพรวมของเป้าหมายเป็นรูปธรรม มากที่สุดว่าเรามีอะไรต้องทําบ้าง เพราะหลายคนมีเป้าหมายที่เป็น นามธรรมเต็มไปหมด แต่พอถามว่าต้องทําอะไรบ้างล่ะกลับตอบไม่ได้ แถมการทํา TO DO ยังเป็นการแบ่งเบาภาระพลังงานสมองด้วย คือ เราไม่ต้องคอยนึกว่าเรามีอะไรต้องทํากี่อย่าง เพราะทุกอย่างถูกนํามาวางบน To do หมดแล้ว
ที่สําคัญคือ การทํา TO DO จะเป็นสิ่งเตือนใจให้เราเกิดการลงมือ ทําด้วย เพราะเมื่อเราเห็นเป้าหมายอยู่ช่อง To do หรือ Doing นานๆ มันจะเหมือนมีแรงกดดันอะไรบางอย่างให้เราอยากลงมือทําเป้าหมาย ให้สําเร็จ เพื่อจะได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังช่อง Done เสียที มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วอย่างไรต่อ ก็ตั้งเป้าหมาย ทั้งหมดตามนี้แล้ว แต่บางทีมันก็ขี้เกียจ มีวิธีเพิ่มแรงผลักดันไหม
หลายคนที่ไม่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว จะบอกว่าผมเป็นคนขยัน แต่ความจริงแล้วผมเป็นคนที่ขี้เกียจพอสมควร มีแต่แม่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าผมเป็นคนขี้เกียจสุดๆ
อย่างไรก็ตาม การเป็นคนขี้เกียจไม่ได้ผิดครับ แต่สําคัญคือ เราต้อง รู้ตัวว่าเราเป็นคนขี้เกียจ เพราะถ้าเราไม่รู้ตัวเอง เราจะเปลี่ยนแปลง อะไรไม่ได้ โดยส่วนตัวผมจะใช้อยู่ 2 วิธีนี้เพื่อแก้อาการขี้เกียจครับ
- มองดูเป้าหมายบน TO DO ทุกวัน
การทํา TO DO มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ คือเราจะมองเห็นมัน ทุกวัน แต่คุณต้องวางมันไว้ในที่ที่เห็นบ่อยๆ นะครับ หลายคนบอกว่าทําในแอปพลิเคชันมือถือได้ไหม สําหรับผมแล้วแต่ความสะดวกครับ แต่ส่วนตัวผม การทํา TO DO ในมือถือจะทําให้เราเห็นมันไม่ชัดเจน เพราะเอาจริงๆ เราไม่ค่อยจะเปิดแอปพลิเคชันเข้าไปดูเท่าไหร่หรอก แต่การติดไว้ที่ผนังห้องทํางานซึ่งเราอยู่กับมันบ่อยๆ จะทําให้เราเห็นมัน ได้ง่าย แค่ตื่นมาเดินผ่านโต๊ะทํางานก็เห็นแล้ว แถมยังไม่มีแจ้งเตือนใดๆเข้ามารบกวนเหมือนในมือถือด้วย
การที่เราดูเป้าหมายบ่อยๆ จะทําให้เราเห็นภาพรวมการเคลื่อนไหว ทุกอย่าง ถ้าเป้าหมายไหนที่เรารู้สึกว่า มันไม่ “กระเตื้อง" เลยนานแล้ว ก็จะเกิดแรงผลักดันให้เราพยายามทํามันมากขึ้น
- บอกให้โลกรู้
ข้อนี้อาจจะขัดกับความรู้สึกของหลายคนหน่อย เพราะคนส่วนใหญ่ คงจะคิดว่าเราไม่ต้องบอกให้ใครรู้เป้าหมายของตัวเองหรอก เก็บเอาไว้เงียบๆ น่าจะดีกว่า
แต่สําหรับผมกลับรู้สึกว่าเวลาบอกเป้าหมายให้คนอื่นรู้ช่วยเพิ่มแรงผลักดันให้ตัวเองดี เช่น ผมจะโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวและบอกคน รอบข้างทุกครั้งว่าผมตั้งเป้าหมายอะไรบ้าง และทําอะไรสําเร็จบ้าง หรือ บางทีเวลาไปแข่งขันอะไร ผมจะบอกเพื่อนตลอดว่าวันนี้จะมาเอาที่หนึ่ง ซ้อมรับรางวัลไปได้เลย
มันอาจจะดูโอ้อวดหน่อย แต่มันส่งผลให้ผมทําเป้าหมายนั้นสําเร็จ ได้มากขึ้นด้วย อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สํานึกเราจะคิดว่า “ถ้าทําไม่ สําเร็จคงจะขายหน้า”
หลายคนอาจจะกลัวคนอื่นหมั่นไส้ แต่ในอีกมุมหนึ่งผมพบว่า มันเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นด้วย เพราะคนอื่นที่มองเห็นเราทํา สําเร็จจะทักเข้ามาขอคําแนะนําจากผมเยอะมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่ หรือถ้าเราสามารถช่วยเป็นแรงผลักดันให้คนอื่น ส่วนถ้าใครจะหมั่นไส้ก็ช่างเขาเถอะครับ
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า การตั้งเป้าหมายไม่ใช่แค่การพูดขึ้น มาลอยๆ ว่าอยากเป็นอะไร ตอนอายุเท่าไหร่ แต่คือการใส่ “ราย ละเอียด” ลงไปด้วยว่าการจะไปถึงเป้าหมายได้นั้น ระหว่างทางมี “กระบวนการ” อะไรบ้าง จะต้องทําอะไร ในแต่ละช่วงเวลาใด เพราะ ไม่อย่างนั้น เป้าหมายลอยๆ ก็จะค่อยๆ ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย คุณก็ค้นพบว่าตรงปลายทางมันไม่มีอะไรเลย นอกจากความ “ว่างเปล่า”
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติด
ย้อนวันวาน “ศูนย์อาหารมาบุญครอง พ.ศ. 2535” ต้นแบบฟู้ดคอร์ทไทย จากคูปองเงินสด สู่ยุคสแกนจ่ายในปลายนิ้ว
🎓 สาวเนิร์ดจากรั้วมหา'ลัยดังญี่ปุ่น สู่เส้นทาง AV เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความต้องการ 'สุดโต่ง' 💥
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี! คลังเร่งประชาชนใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ภายใน 19 ธ.ค. นี้ หนุนร้านค้าชุมชนรับเงินเพิ่ม 2,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ
วิเคราะห์หวย AI น่าจะออกรางวัลงวด 16 ธันวาคม 2568
แฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึก
คลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติ
[l8+]เปิดวาร์ปหนังlอวี แนวครอบครัว บอกเลยว่าเด็ด!!!
เจนนี่ประกาศยกเลิกตลาดใจแป้วเนื่องจากยอดไลฟ์ตก และคืนดีแม่ พร้อมเผยนานาขอโทษเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่ล่ม
ปลูกรอยยิ้ม
"ไทย" ทักษะภาษาอังกฤษต่ำมาก รั้งรองโหล่สูงกว่าแค่"กัมพูชา"
เดินวันละ 3,000 ก้าว ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
ที่มาของ สต็อกโฮล์ม ซินโดรม Stockholm Syndrome อาการของคนที่เป็นเหยื่อ รู้สึกเห็นอกเห็นใจคนร้าย หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง แม้กระทั่งเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว