สารเติมเต็ม ฟิลเลอร์ (Filler) มีข้อดีอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง

สารเติมเต็ม ฟิลเลอร์ (Filler) มีข้อดีอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง

ในยุคที่เทรนด์ความงามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การดูแลรูปลักษณ์ให้ดูอ่อนเยาว์และสมดุลโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น หนึ่งในหัตถการที่ได้รับความสนใจสูงสุดในปัจจุบันคือ “การฉีดสารเติมเต็ม” หรือที่เรียกกันว่า “ฟิลเลอร์ (Filler)” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยเติมเต็มร่องลึก ฟื้นฟูโครงหน้า และคืนความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มฟูอย่างเป็นธรรมชาติ

สารเติมเต็มสามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น แก้ไขจุดบกพร่องเล็ก ๆ บนใบหน้าโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน และยังช่วยให้ใบหน้าดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้นทันทีหลังทำ

สำหรับใครที่สนใจฉีดสารเติมเต็ม ควรศึกษาข้อมูลก่อนฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง ซึ่งสารเติมเต็มคืออะไร ช่วยอะไรบ้าง ฉีดจุดไหนได้ อันตรายไหม มารู้ข้อมูลก่อนทำที่นี่

 

สารเติมเต็ม ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร

สารเติมเต็มฟิลเลอร์ (Filler) คือสารที่ใช้สำหรับฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง เพื่อเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ยุบตัว ลดเลือนร่องลึก หรือเสริมโครงสร้างของใบหน้าให้สมดุลขึ้น วัตถุประสงค์หลักคือการคืนวอลลุ่มให้ผิว ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูเต่งตึง อิ่มฟู และลดความหย่อนคล้อยได้อย่างเห็นผล

สารเติมเต็มที่นิยมใช้ในวงการแพทย์ความงามมากที่สุดคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติสำคัญคือสามารถอุ้มน้ำได้ดีมาก เมื่อฉีดเข้าไปในผิวจะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นขึ้นทันที อีกทั้งยังสลายได้เองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์มักถูกใช้ในจุดที่ต้องการการปรับแต่งเล็กน้อย เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก คาง หน้าผาก ขมับ และริมฝีปาก โดยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และสภาพผิวของแต่ละคน

 

ประเภทของสารเติมเต็ม (Filler) มีอะไรบ้าง

ฟิลเลอร์ไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว แต่แบ่งออกตามองค์ประกอบและระยะเวลาการคงตัว ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์และการใช้งานในแต่ละจุดบนใบหน้า โดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1.สารเติมเต็มแบบชั่วคราว (Temporary Filler)
เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถสลายได้เองและมีความปลอดภัยสูง ฟิลเลอร์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ผลิตจาก Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในผิวของเราเอง
คุณสมบัติเด่นของฟิลเลอร์ HA

1. กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดี
2. ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เต่งตึง
3. สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase หากต้องการแก้ไข
4. ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี

 

2.สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
มีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว จึงให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าแบบชั่วคราว เช่น

1. Calcium Hydroxylapatite (CaHA) – มีลักษณะเป็นอนุภาคในเนื้อเจล ใช้เติมเต็มร่องลึกและกระตุ้นคอลลาเจน อยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน
2. Poly-L-lactic Acid (PLLA) – ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ไม่เห็นผลทันที ต้องรอ 1–3 เดือนจึงเห็นผลเต็มที่ อยู่ได้นานถึง 2–3 ปี

 

3.สารเติมเต็มแบบถาวร (Permanent Filler)
เป็นสารเติมเต็มฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้เอง เช่น Polymethylmethacrylate (PMMA) มีความคงทนถาวร แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง หากฉีดผิดตำแหน่งอาจเกิดการอักเสบ หรือเป็นก้อนแข็งที่ยากต่อการแก้ไข ต้องผ่าตัดนำออกเท่านั้น

 

สารเติมเต็มฟิลเลอร์ (Filler) ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

สารเติมเต็มฟิลเลอร์ไม่ได้มีไว้แค่เติมร่องลึก แต่ยังช่วยปรับสมดุลของใบหน้า และฟื้นฟูผิวในหลายมิติ

1.สารเติมเต็มช่วยเติมเต็มร่องลึก ช่วยลดรอยลึกบริเวณร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือใต้ตา ให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีหลังทำ
2.สารเติมเต็มช่วยปรับโครงหน้าให้สมส่วน สามารถใช้เพื่อปรับสัดส่วนของใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น เติมคางให้ยาวขึ้น เสริมขมับให้เต็มขึ้น หรือแก้มตอบให้ดูอิ่มฟูขึ้น
3.สารเติมเต็มช่วยเสริมจุดเด่นให้ใบหน้า ฟิลเลอร์สามารถใช้เพิ่มเสน่ห์ในจุดต่าง ๆ เช่น ปากอวบอิ่ม หน้าผากโค้งนูน หรือจมูกโด่งขึ้นเล็กน้อย ช่วยให้ใบหน้าดูละมุนและสมดุลยิ่งขึ้น
4.สารเติมเต็มช่วยฟื้นฟูผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อนิ่มบางสูตรสามารถฉีดทั่วหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดริ้วรอยตื้น ๆ และคืนความอิ่มน้ำให้ผิว
5.สารเติมเต็มช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟิลเลอร์บางประเภท เช่น CaHA หรือ PLLA จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูแน่นกระชับขึ้นในระยะยาว
6.สารเติมเต็มช่วยแก้ไขความไม่สมมาตร ใช้ปรับรูปหน้าให้สมดุล เช่น เติมข้างที่ยุบให้เท่ากัน หรือแก้คางเอียงได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

จุดยอดนิยมในการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายบริเวณบนใบหน้า แต่ละจุดจะใช้เทคนิคและฟิลเลอร์เนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน เช่น

1. ใต้ตา – ลดร่องลึกและเงาคล้ำ ทำให้หน้าดูสดใสขึ้น
2. ร่องแก้ม – เติมเต็มให้ร่องตื้นขึ้น ลดอายุผิว
3. คาง – ช่วยให้ใบหน้าเรียวยาวขึ้นโดยไม่ต้องศัลยกรรม
4. ขมับ – แก้ปัญหาขมับยุบ ใบหน้าดูละมุนขึ้น
5. หน้าผาก – เพิ่มความโค้งนูน ทำให้ใบหน้าดูหวานขึ้น
6. ริมฝีปาก – เติมปากให้อวบอิ่ม ชุ่มชื้น และมีรูปทรงสวย
7. แก้มตอบ – ช่วยให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา
8. จมูก – ปรับสันจมูกให้โด่งเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด
9. ร่องน้ำหมาก – ลดรอยจากมุมปากลงสู่คาง ให้หน้าดูไม่เหนื่อยล้า
10. กรอบหน้า – สร้างแนวกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ช่วยยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ

 

เห็นผลเมื่อไรหลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

โดยทั่วไปสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด เพราะฟิลเลอร์ทำหน้าที่เติมเต็มช่องว่างใต้ผิวทันที แต่ผลลัพธ์จะดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อผ่านไป 7–14 วัน หลังจากฟิลเลอร์เซตตัวเข้ากับผิวอย่างสมบูรณ์

 

สารเติมเต็มฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน

ระยะเวลาการคงอยู่ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด

1. HA Filler : 6–18 เดือน
2. CaHA / PLLA : 1–3 ปี

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลหลังทำ พฤติกรรมส่วนตัว และการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ก็ส่งผลต่อความคงทนเช่นกัน

 

ปริมาณสารเติมเต็มฟิลเลอร์ที่ใช้แต่ละจุด

แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปใช้ตั้งแต่ 0.5 – 4 ซีซี ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และความลึกของร่อง ควรเริ่มจากปริมาณน้อยก่อน เพื่อให้สามารถปรับเพิ่มได้ภายหลังอย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ

 

ใครเหมาะกับการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

1. ผู้ที่มีร่องลึก ใต้ตาคล้ำ หรือร่องแก้มชัด
2. ผู้ที่มีใบหน้าขาดวอลลุ่ม เช่น แก้มตอบ ขมับยุบ
3. ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ศัลยกรรม
4. ผู้ที่อยากเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปาก
5. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์
6. ผู้ที่มีใบหน้าไม่สมมาตรต้องการปรับสมดุล

 

ใครไม่ควรฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

1. หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
2. ผู้มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับเลือดหรือภูมิคุ้มกัน
3. ผู้ที่มีการอักเสบหรือแผลบริเวณที่จะฉีด
4. ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์ปลอมหรือสารแปลกปลอมมาก่อน
5. ผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่นในบริเวณเดียวกัน
6. ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เกินจริง เช่น ต้องการเปลี่ยนโครงหน้าโดยสิ้นเชิง

 

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของสารเติมเต็ม

อาการทั่วไปหลังฉีด ได้แก่ บวม ช้ำ หรือแดงเล็กน้อย ซึ่งจะหายภายในไม่กี่วัน แต่หากฉีดโดยผู้ไม่มีความชำนาญ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน เคลื่อนตำแหน่ง หรือติดเชื้อได้ ในกรณีรุนแรงอาจเกิดภาวะฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการแก้ไขทันทีโดยแพทย์

 

ข้อควรทำในการเตรียมตัวก่อนฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

1. เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ
2. แจ้งโรคประจำตัว ยาที่ใช้ หรือประวัติแพ้ยาให้แพทย์ทราบ
3. งดยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวยาก เช่น แอสไพริน น้ำมันปลา วิตามินอี
4. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ก่อนทำ 1–2 วัน
5. พักผ่อนให้เพียงพอและทำความสะอาดผิวก่อนเข้ารับบริการ
6. ทำความเข้าใจผลลัพธ์จริง ไม่คาดหวังเกินจริง

 

ข้อควรทำในการดูแลหลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

1. หลีกเลี่ยงการจับ นวด หรือกดบริเวณที่ฉีดใน 48 ชั่วโมงแรก
2. งดการออกกำลังกายหนักและกิจกรรมที่มีความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรืออาบแดด
3. งดแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก
4. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
5. ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์อิ่มตัวและคงรูปสวย
6. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2–3 วัน
7. หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม หรือผิวคล้ำ ควรรีบพบแพทย์ทันที

 

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
2. อาหารหมักดองหรือรสจัด
3. อาหารที่มีโซเดียมสูง
4. อาหารเสริมที่ทำให้เลือดแข็งตัวยาก เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี
5. อาหารทะเลและของดิบ
6. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง

หลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้อย่างน้อย 3–7 วัน เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานขึ้น

 

สรุป สารเติมเต็มฟิลเลอร์ดีไหม ควรฉีดหรือไม่

สารเติมเต็มฟิลเลอร์ (Filler) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนเมื่อทำโดยแพทย์ ช่วยปรับรูปหน้า เติมเต็มร่องลึก และฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด สิ่งสำคัญคือการเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรอง และปฏิบัติตามคำแนะนำก่อน–หลังการฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงมากที่สุด