เรื่องเล่าของชาวจีนโพ้นทะเลผู้ร่วมสร้างสยามในสมัยรัชกาลที่ 3
1. คลื่นมหาชนจากแดนไกล
ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สยามประเทศได้ต้อนรับคลื่นการอพยพของชาวจีนโพ้นทะเลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้ว่าการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลของชาวจีนจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในยุคนี้เองที่จำนวนของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นส่วนสำคัญของสังคมสยาม บันทึกของ ฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส ได้ให้ภาพที่น่าทึ่งไว้ว่า ในช่วงปลายรัชกาล ประชากรชาวจีนในสยามมีมากถึง 1,500,000 คน จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 6,000,000 คน ซึ่งหมายความว่า ประชากรทุกๆ 4 คนในสยาม ณ เวลานั้น จะมี 1 คนที่เป็นชาวจีน
ข้อมูลจากชาวต่างชาติหลายท่านที่เดินทางเข้ามาในสยามช่วงเวลานั้น ได้ช่วยยืนยันถึงจำนวนประชากรชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้
|
ผู้บันทึก |
ปีที่บันทึก (พ.ศ. โดยประมาณ) |
จำนวนชาวจีน |
ประชากรทั้งหมด |
|
จอห์น ครอว์เฟิร์ด |
2365 |
440,000 คน |
2,790,500 คน |
|
มัลลอค |
2370 |
800,000 คน |
3,252,650 คน |
|
เอดมันด์ โรเบิตส์ |
2378 |
500,000 คน |
3,620,000 คน |
|
มัลลอค |
2392 |
1,100,000 คน |
3,653,150 คน |
|
ฌ็อง-บาติสต์ ปาลกัว |
2397 |
1,500,000 คน |
6,000,000 คน |
2. ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจสยาม
การหลั่งไหลเข้ามาของชาวจีน โดยเฉพาะในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของสยาม พวกเขาเปรียบเสมือน "กลไกสำคัญ" ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจการค้า ระบบตลาด และอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ในพระนคร (กรุงเทพมหานคร) ชาวจีนได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของชนชั้นแรงงานอย่างแท้จริง พวกเขาทำงานแทบทุกประเภท ตั้งแต่งานที่ต้องใช้พละกำลังอย่างหนักไปจนถึงงานเบา เรียกได้ว่าแรงงานชาวจีนคือส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาเมืองหลวง
แต่บทบาทของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองหลวง หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของ "ฟันเฟือง" ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสยามนั้น ปรากฏให้เห็นในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดนอกพระนคร ที่ซึ่งชาวจีนจำนวนมากได้มุ่งหน้าไปเพื่อเป็นกำลังสำคัญ
3. ชีวิตในโรงงานและเหมืองแร่: หยาดเหงื่อแห่งผู้สร้างชาติ
ณ ที่แห่งนั้นเอง ที่หยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาได้กลายเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมหลักสองประเภท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความมั่งคั่งในยุคสมัยนั้น และได้หล่อหลอมความเจริญให้แก่แผ่นดินสยาม
3.1. กลิ่นหวานแห่งหยาดเหงื่อ: แรงงานในโรงงานน้ำตาล
อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายคือหนึ่งในภาคเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 3 และแรงงานชาวจีนคือหัวใจของอุตสาหกรรมนี้ พวกเขาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นในโรงงานที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่สำคัญหลายแห่ง ได้แก่
• บางปลาสร้อย
• นครชัยศรี (นครปฐม)
• บางปะกง
ที่น่าสนใจคือ บทบาทของชาวจีนในอุตสาหกรรมนี้มีอยู่สองด้าน คือเป็นทั้ง เจ้าของกิจการ และเป็น แรงงานจำนวนมหาศาล โดยข้อมูลระบุว่าโรงงานน้ำตาลแต่ละแห่งต้องอาศัยแรงงานชาวจีนไม่ต่ำกว่า 200-300 คนเลยทีเดียว
3.2. ความแข็งแกร่งใต้ผืนดิน: แรงงานเหมืองแร่และโรงถลุงเหล็ก
นอกเหนือจากโรงงานน้ำตาล แรงงานชาวจีนยังเป็นกำลังหลักในงานที่ต้องอาศัยความทรหดอดทนอย่างยิ่งในเหมืองแร่ดีบุกและโรงถลุงเหล็ก ซึ่งกระจายตัวอยู่ทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของสยามในพื้นที่ต่างๆ เช่น
• ถลาง (ภูเก็ต)
• ไชยา
• ชุมพร
• ราชบุรี
• ปากแพรก (กาญจนบุรี)
ขนาดของกิจการเหล่านี้ใหญ่โตอย่างยิ่ง โดยมีบันทึกว่าโรงถลุงเหล็กเพียงโรงเดียวอาจต้องใช้แรงงานชาวจีนไม่ต่ำกว่า 500-600 คน เพื่อให้การผลิตดำเนินต่อไปได้
แม้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งงานที่สำคัญ แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันให้ชาวจีนต้องกระจายตัวออกไปไกลยิ่งขึ้นทั่วราชอาณาจักร เพื่อแสวงหาโอกาสและสร้างชีวิตใหม่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
4. การขยายตัวสู่หัวเมือง: เมื่อชาวจีนกระจายไปทั่วสยาม
ในช่วงแรก ชาวจีนได้เริ่มขยับขยายจากพระนครไปตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินในหัวเมืองใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก เช่น ฉะเชิงเทรา, นครชัยศรี (นครปฐม), และราชบุรี
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญที่ผลักดันให้เกิดการอพยพกระจายตัวในวงกว้างยิ่งขึ้น คือ การปราบปราบกลุ่ม "ตั้วเหี่ย" ซึ่งเป็นกลุ่มชาวจีนที่รวมตัวกันกระทำผิดกฎหมาย หลังจากเหตุการณ์นี้ ชาวจีนจำนวนมากจึงได้อพยพไปยังหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดชุมชนชาวจีนขึ้นในหลายพื้นที่ ได้แก่
• ลพบุรี
• อ่างทอง
• พรมอินทร์
• ชัยนาท
• สิงห์บุรี
• นครชุม (กำแพงเพชร)
5. กลไกสำคัญแห่งชนชั้นแรงงาน
จากเรื่องราวทั้งหมด จะเห็นได้ว่าผู้อพยพชาวจีนในสมัยรัชกาลที่ 3 มีบทบาทที่ขาดไม่ได้ต่อการพัฒนาประเทศสยามในทุกมิติ พวกเขาคือพลังขับเคลื่อนในโรงงานน้ำตาล คือความแข็งแกร่งในเหมืองแร่และโรงถลุงเหล็ก อีกทั้งยังเป็นกำลังสำคัญในภาคเกษตรกรรมและเป็นผู้ใช้แรงงานแทบทุกประเภทในพระนคร
คุณูปการของพวกเขาจึงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสยามให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ดังบทสรุปอันทรงพลังที่ว่า
ก็จะมีคนจีนเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของชนชั้นแรงงานในสมัยรัชกาลที่ 3 เสมอ
อ้างอิงจาก: แผ่นดินพระนั่งเกล้า (แปลจาก Siam Under Rama III โดย Walter F. Vella) แม้จะไม่เน้นเรื่องชาวจีนโดยตรง แต่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 3 โดยเฉพาะ ซึ่งบทบาทของชาวจีนในฐานะ "เจ้าภาษีนายอากร" และการค้าขายถือเป็นหัวข้อสำคัญในยุคนี้, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3, เป็นเอกสารชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัย ซึ่งแน่นอนว่ามีการกล่าวถึงการจัดการและการมีส่วนร่วมของชาวจีนในราชการและระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ ส่วนข้อคิดประจำวันก็คือ อย่าหัวเราะถ้าพายุจะพัดไปประเทศใคร เพราะพายุมันอาจจะพัดเข้าประเทศตัวเองแทนก็ได้เด้อ ขอบคุณครับ
“หมวดอ๋อ” ขอแฟนแต่งงานในบรรยากาศโรแมนติก พร้อมโพสต์ภาพและข้อความประกาศข่าวดี
จินนี่ ลูกสาวคุณหญิงสุดารัตน์ ตัดสินใจลงสนามการเมือง
นอนในตู้ล็อกเกอร์กลางโตเกียว เมื่อหมีพูห์กลายเป็นรูมเมตในห้องพักไซส์ XS
#ทายนิสัยจากกาแฟ: เดือนเกิดคุณเปรียบเหมือนกาแฟแก้วไหน? ทายบุคลิก ความรัก และการเงินจากเครื่องดื่มแก้วโปรด
ปูมัณฑนาเดือด แจ้งความเพจอีป้าข้างบ้าน หลังพบเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนข้อเท็จจริง
เลขเด็ด "หวยไทยรัฐ" งวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 68 มาแล้ว!..รีบส่องเลย ก่อนหมดแผง!!
สัญชาตญานแม่..แมวป้อนอาหารให้ลูกนกกิน
เลขเด็ด "ทักษาพารวย" งวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 68...อยากถูกหวย ส่องด่วน!
ควรเคารพกฎหมายไทย! "แนท อนิพรณ์-น้ำตาล ชลิตา" เผยหลังดราม่า "ราอูล" ให้นางงามถ่ายคลิปโปรโมตคๅสิโน
สิงโตตัวผู้พุ่งใส่คนดูแล แต่ตัวเมียพุ่งมาห้าม กลัวเมียยังไงให้โลกจำ
ทำไมไอดอลกรุ๊ป ถึงห้ามมีความรัก ห้ามถูกตัวผู้ชาย ทั้งที่มีกิจกรรมให้จบมือได้?
จินนี่ ลูกสาวคุณหญิงสุดารัตน์ ตัดสินใจลงสนามการเมือง
ทำไมไอดอลกรุ๊ป ถึงห้ามมีความรัก ห้ามถูกตัวผู้ชาย ทั้งที่มีกิจกรรมให้จบมือได้?
😁 ชวนเข้ามาลองดูภาพถ่ายที่ตั้งใจให้ดูธรรมดา แต่กลายเป็นว่ามันไม่ธรรมดาซะงั้น 😉
เขมรเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึกตามสัญญา
“หมวดอ๋อ” ขอแฟนแต่งงานในบรรยากาศโรแมนติก พร้อมโพสต์ภาพและข้อความประกาศข่าวดี
คู่หมั้นผู้นำ "เนเธอร์แลนด์" หุ่นไม่ธรรมดา..ว่าที่บุรุษหมายเลขหนึ่ง




