ฉีดกระตุ้นคอลลาเจนมีข้อดีอย่างไร? กระตุ้นคอลลาเจนได้กี่วิธี?

ฉีดกระตุ้นคอลลาเจนมีข้อดีอย่างไร? กระตุ้นคอลลาเจนได้กี่วิธี? 

คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น เรียบเนียน และกระชับ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และแห้งกร้าน บทความนี้จาก รมย์รวินท์คลินิก จะพาไปรู้จักคอลลาเจนให้ลึกขึ้น พร้อมแนะนำวิธีกระตุ้นคอลลาเจน และโปรแกรมยอดนิยมที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรงและอ่อนเยาว์อีกครั้ง

คอลลาเจนสำคัญต่อผิวอย่างไร?

คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนสำคัญที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นเอ็น และกระดูก โดยเฉพาะคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 ที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ และชุ่มชื้น เมื่ออายุมากกว่า 20 ปี ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนน้อยลงทุกปี ส่งผลให้ผิวแห้ง หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยง่าย การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจึงเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์จากภายใน

คอลลาเจนมีประโยชน์อย่างไร?

คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการคงความอ่อนเยาว์ของผิว โดยช่วยในหลายด้าน เช่น

• เสริมความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้ผิวดูเต่งตึง
• ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกให้ดูจางลง
• เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ไม่แห้งกร้าน
• ทำให้ผิวเรียบเนียนและมีเนื้อผิวละเอียดขึ้น
• กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูสดใส
• ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายให้กลับมาแข็งแรง

กระตุ้นคอลลาเจนมีกี่วิธี?

การกระตุ้นคอลลาเจนสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งจากการรับประทานอาหาร การบำรุงจากภายนอก และการฉีดกระตุ้น ซึ่งแต่ละรูปแบบมีจุดเด่นที่ต่างกันไป ดังนี้

กระตุ้นคอลลาเจนด้วยการกินอาหาร

หนึ่งในวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น คือการเลือกกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อกระบวนการผลิตคอลลาเจน ได้แก่

1. อาหารที่มีโปรตีนสูง
   คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ ปลา ไก่ เต้าหู้ ถั่วเหลือง และโยเกิร์ต จะช่วยให้ร่างกายได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน
2. อาหารที่มีวิตามินซี
   วิตามินซีเป็นสารอาหารหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย และช่วยลดการเสื่อมสลายของคอลลาเจนในผิว พบมากในผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ มะเขือเทศ บรอกโคลี และพริกหวาน
3. อาหารที่มีวิตามินเอ
   วิตามินเอมีบทบาทในการฟื้นฟูเซลล์ผิวและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจน พบมากในตับ ไข่แดง นม แครอท ฟักทอง ผักบุ้ง และผักโขม
4. อาหารที่มีสังกะสี (Zinc)
   สังกะสีช่วยเสริมกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน และซ่อมแซมเซลล์ผิว พบในอาหารจำพวกหอยนางรม เนื้อไก่ ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืชไม่ขัดสี และบรอกโคลี
5. อาหารที่มีทองแดง (Copper)
   ทองแดงมีส่วนช่วยในการเชื่อมโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พบในตับ เห็ด หอยนางรม ผักใบเขียว เมล็ดพืช และถั่วต่าง ๆ

กระตุ้นคอลลาเจนด้วยการทาสกินแคร์

การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายนอก ทำให้ผิวแลดูอิ่มฟู เรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้น ซึ่งส่วนผสมที่ได้รับความนิยม มีดังนี้

1. สกินแคร์ที่มีวิตามินซี (Vitamin C)
   วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว พร้อมลดการสร้างเม็ดสีส่วนเกิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใส จุดด่างดำแลดูจางลง และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
2. สกินแคร์ที่มีเรตินอล (Retinol)
   เรตินอลหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ เป็นสารที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดเลือนริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนใหม่ และยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนเดิม ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน เต่งตึง และรูขุมขนดูกระชับ
3. สกินแคร์ที่มีเปปไทด์ (Peptides)
   เปปไทด์เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เนียนนุ่ม และดูสุขภาพดีจากภายใน
4. สกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
   ไนอะซินาไมด์หรือวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส แข็งแรง ชุ่มชื้น และกระชับมากขึ้น

กระตุ้นคอลลาเจนด้วยการฉีดกระตุ้นคอลลาเจน

การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะใช้สารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

1. โปรแกรมฉีดกลุ่ม Biostimulator

เป็นการฉีดสารที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยตรง เช่น Poly-L-lactic acid (PLLA), Calcium Hydroxylapatite (CaHA) หรือ Polycaprolactone (PCL) สารเหล่านี้จะกระตุ้นเซลล์ ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้สร้างคอลลาเจนใหม่ต่อเนื่อง ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูความยืดหยุ่น และปรับโครงสร้างผิวให้แน่นกระชับขึ้นตามธรรมชาติ
ตัวอย่างแบรนด์ยอดนิยม เช่น Sculptra, Radiesse, Ultracol และ Collaju โดยแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวและเป้าหมายของแต่ละคน

2. โปรแกรมฉีดกลุ่ม Hybrid Filler

โปรแกรมนี้ผสานคุณสมบัติของ Hyaluronic Acid (HA) และ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) เข้าด้วยกัน ทำให้ได้ผลลัพธ์แบบ “Dual Action” คือช่วยเติมเต็มและยกกระชับในทันที ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ส่งผลให้ผิวดูฟู กระชับ และเรียบเนียนยิ่งขึ้น
หนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมคือ HArmonyCa Filler ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทั้งเรื่องโครงสร้างและคุณภาพผิวได้ในคราวเดียว

3. โปรแกรมฉีดกลุ่ม Skin Booster

การฉีดกลุ่มนี้เน้นการบำรุงผิวโดยตรง และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนตามธรรมชาติ สารที่ใช้มักประกอบด้วย Polynucleotide (PN) หรือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว กระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและความเรียบเนียนจากภายใน
ตัวอย่างแบรนด์ยอดนิยม เช่น Rejuran, Plinest, หรือ Profhilo ซึ่งแต่ละชนิดให้ผลลัพธ์แตกต่างกันตามสภาพผิวและความต้องการ

ฉีดกระตุ้นคอลลาเจนมีข้อดีอย่างไร?

• ช่วยกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนและอีลาสติน ได้อย่างล้ำลึก ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
• เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา ริ้วรอย ร่องลึก ผิวแห้ง หย่อนคล้อย หรือหมองคล้ำ ช่วยฟื้นฟูให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดี
• ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่าเมื่อเทียบกับการบำรุงผิวทั่วไป เช่น การทาครีมหรือรับประทานอาหารเสริม
• สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ในระยะเวลาไม่นาน ผิวดูฟู เรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้นอย่างชัดเจน
• สารที่ใช้ในการฉีดสามารถ สลายได้เองตามธรรมชาติ ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่ทิ้งสารตกค้าง
• หลังฉีดไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ทันที

คอลลาเจนมีกี่ประเภท?

1. คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I)
   เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย คิดเป็นประมาณ 90% ของทั้งหมด ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น แน่นกระชับ และยังพบได้ในกระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด และอวัยวะต่าง ๆ
2. คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Type II)
   พบมากในกระดูกอ่อนและข้อต่อ มีหน้าที่เสริมความยืดหยุ่น ช่วยรองรับแรงกระแทก และปกป้องข้อต่อจากการสึกหรอ
3. คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Type III)
   ทำงานร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 เพื่อคงความเรียบเนียนและยืดหยุ่นของผิวหนัง พบได้ในผิว กล้ามเนื้อ หลอดเลือด และอวัยวะภายใน
4. คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Type IV)
   อยู่บริเวณเยื่อบุผิว (Basement membrane) ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างรองรับเซลล์ผิว และช่วยให้ผิวแข็งแรง รวมถึงเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทและหลอดเลือด
5. คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Type V)
   พบในเส้นผม เล็บ รก และกระจกตา มีบทบาทในการจัดเรียงตัวของเส้นใยคอลลาเจน และเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผมและเล็บ

จะเห็นได้ว่า “การกระตุ้นคอลลาเจน” มีหลายวิธีให้เลือก ทั้งแบบรับประทาน ทาผิว และฉีดบำรุง ซึ่งแต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์และเหมาะกับความต้องการของแต่ละคนแตกต่างกันไป สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเห็นผลชัดเจน และต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน การฉีดกระตุ้นคอลลาเจนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนาน อย่างไรก็ตาม ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินสภาพผิว และเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม