วิธีทำให้หน้าเรียว V-Shape มีอะไรบ้าง แก้หน้าบาน หน้าใหญ่

วิธีทำให้หน้าเรียว V-Shape มีอะไรบ้าง แก้หน้าบาน หน้าใหญ่
“หน้าเรียว” ถือเป็นลักษณะใบหน้าที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะช่วยให้ดูอ่อนวัย ถ่ายรูปขึ้นทุกมุม และเพิ่มความมั่นใจได้อย่างมาก แต่ปัญหาใบหน้ากลม แก้มเยอะ หรือเหนียงย้อย มักเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โครงสร้างกระดูก กรามใหญ่ กล้ามเนื้อหนา ไขมันสะสม หรือผิวหนังหย่อนคล้อย ซึ่งแต่ละแบบย่อมต้องใช้วิธีดูแลแตกต่างกันไป บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักวิธีทำให้หน้าเรียว ทั้งแบบธรรมชาติ หัตถการทางการแพทย์ และศัลยกรรม พร้อมแนะแนวทางเลือกที่เหมาะกับปัญหาของคุณมากที่สุด

 

หน้าใหญ่หรือหน้าบาน เกิดจากอะไร
ก่อนจะเริ่มมองหาวิธีทำให้หน้าเรียว ควรเข้าใจก่อนว่า “สาเหตุของหน้ากลม” มาจากอะไร เพราะต้นเหตุที่ต่างกัน ย่อมต้องใช้วิธีแก้ต่างกันเช่นกัน

1.โครงสร้างกระดูกใบหน้า คนที่มีกระดูกกรามกว้างหรือโหนกแก้มสูง มักทำให้รูปหน้าไม่เรียว ถึงแม้จะผอมก็ยังดูหน้ากว้าง
2.กล้ามเนื้อกรามหนา มักเกิดจากการเคี้ยวอาหารเหนียว กัดฟันตอนนอน หรือชอบเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อย ๆ ทำให้กล้ามเนื้อกรามโตและดันใบหน้าให้ดูกว้าง
3.ไขมันสะสม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไขมันมักสะสมบริเวณแก้ม คาง และเหนียง ทำให้กรอบหน้าดูไม่ชัด
4.ผิวหนังหย่อนคล้อย เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายสร้างคอลลาเจนลดลง ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูกลมและแก่กว่าวัย
5.พฤติกรรมการใช้ชีวิต การนอนดึก ดื่มน้ำน้อย กินเค็ม หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ล้วนทำให้ใบหน้าบวมจากการกักเก็บน้ำ
6.ปัญหาสุขภาพบางอย่าง ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล โรคภูมิแพ้ หรือโรคตับ–ไต บางครั้งก็ส่งผลให้ใบหน้าดูบวมและอืดได้เช่นกัน

 

วิธีทำให้หน้าเรียว เลือกอย่างไรให้เหมาะสม
การเลือกวิธีทำให้หน้าเรียวที่ใช่ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น สาเหตุของปัญหา งบประมาณ และระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล
• หากปัญหาเกิดจาก โครงกระดูกใหญ่ ควรพิจารณาศัลยกรรมผ่าตัด
• ถ้ามี กล้ามเนื้อกรามหนา การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้ดี
• ผู้ที่มี ไขมันส่วนเกิน เหมาะกับเมโสแฟต HIFU หรือการดูดไขมัน
• ส่วนผู้ที่มี ผิวหย่อนคล้อย สามารถใช้เทคโนโลยียกกระชับ เช่น Ulthera, Thermage, HIFU หรือร้อยไหม

 

แนะนำวิธีทำให้หน้าเรียว ลดแก้ม ลดเหนียง
1.โบท็อกซ์ลดกราม
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยโบท็อกซ์คือการฉีดสาร Botulinum Toxin เพื่อคลายกล้ามเนื้อกรามที่หดเกร็ง ทำให้หน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
• ข้อดี เห็นผลใน 2–4 สัปดาห์ เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น
• ข้อจำกัด อยู่ได้ประมาณ 4–6 เดือน และไม่ลดไขมันหรือผิวหย่อนคล้อย
• เหมาะกับ คนที่มีกรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ

 

2.ฟิลเลอร์คาง–ขมับ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยฟิลเลอร์คือการใช้สาร Hyaluronic Acid เติมเต็มในบริเวณที่ขาดมิติ เช่น คางสั้นหรือขมับตอบ ทำให้ใบหน้าดูยาวและได้สัดส่วน
• ข้อดี เห็นผลทันทีหลังทำ ปรับรูปหน้าได้แม่นยำ
• ข้อจำกัด ต้องฉีดซ้ำทุก 12–18 เดือน
• เหมาะกับ ผู้ที่คางสั้น หน้ากลม หรือใบหน้าไม่สมดุล

 

3.ร้อยไหมยกกระชับ
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยร้อยไหมละลายที่มีเงี่ยงเข้าไปใต้ผิว เพื่อยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
• ข้อดี เห็นผลทันทีบางส่วน ผลอยู่ได้ 1–2 ปี
• ข้อจำกัด ต้องทำโดยแพทย์เชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาไหมทะลุหรือผิวไม่เรียบ
• เหมาะกับ คนที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง

 

4.เมโสแฟต
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยเมโสแฟตคือการฉีดสารสลายไขมันเฉพาะจุด เช่น แก้ม เหนียง เพื่อให้ไขมันแตกตัวและถูกขับออกทางน้ำเหลือง
• ข้อดี เห็นผลภายใน 2–3 สัปดาห์ ไม่ต้องผ่าตัด
• ข้อจำกัด ต้องทำซ้ำหลายครั้ง ผลไม่ถาวร
• เหมาะกับ คนที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง

 

5.Oligio (RF ยกกระชับ)
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Oligio เทคโนโลยีคลื่นวิทยุ Monopolar RF กระตุ้นคอลลาเจนให้หดตัว ผิวกระชับและเรียวขึ้น
• ข้อดี เจ็บน้อย เห็นผลเร็ว
• ข้อจำกัด ผลอยู่ได้ 6–12 เดือน
• เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มมีผิวหย่อนเล็กน้อย

 

6.Ulthera
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ulthera เป็นเทคโนโลยี Ultrasound ยกกระชับชั้นลึกถึง SMAS เทียบเท่าผ่าตัดดึงหน้า
• ข้อดี ยกกระชับชัดเจน เห็นผลเต็มที่ใน 2–3 เดือน อยู่ได้นาน 1–2 ปี
• ข้อจำกัด ราคาสูง อาจรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
• เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก ไม่อยากผ่าตัด

 

7.Ultraformer
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Ultraformer เป็น HIFU รุ่นใหม่ ยิงคลื่นเสียงพลังงานสูงกระชับผิวและสลายไขมันเฉพาะจุด
• ข้อดี เจ็บน้อยกว่ารุ่นเก่า ค่าใช้จ่ายไม่สูง
• ข้อจำกัด ผลอยู่ได้ 6–12 เดือน
• เหมาะกับ คนที่ต้องการหน้าเรียวเล็กลงเล็กน้อยและลดเหนียง

 

8.Volnewmer
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Volnewmer เป็นเครื่องยกกระชับที่พัฒนาใหม่จาก Thermage ใช้พลังงาน RF กระจายสม่ำเสมอทั่วใบหน้า
• ข้อดี ยกกระชับทั่วหน้า เจ็บน้อย ดูเป็นธรรมชาติ
• ข้อจำกัด ราคาสูงและคลินิกที่ให้บริการยังไม่มาก
• เหมาะกับ ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก

 

9.Thermage
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Thermage เป็นคลื่นวิทยุ Monopolar RF กระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวกระชับ เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยและความหย่อน
• ข้อดี อยู่ได้นาน 1–2 ปี ไม่ต้องพักฟื้น
• ข้อจำกัด ราคาแพงและผลลัพธ์ค่อย ๆ ปรากฏ
• เหมาะกับ ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป

 

10.Morpheus 8
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Morpheus 8 เป็นเทคโนโลยีรวม Microneedle กับ RF เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้ยกกระชับ
• ข้อดี ยกกระชับลึก ลดรูขุมขน รอยสิว และริ้วรอยได้พร้อมกัน
• ข้อจำกัด หลังทำอาจมีรอยแดง ต้องพักผิว 2–3 วัน
• เหมาะกับ ผู้ที่อยากยกหน้าและฟื้นฟูผิวในคราวเดียว

 

11.Emface
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Emface เป็นเทคโนโลยีจากยุโรปที่ใช้คลื่น HIFES และ RF กระตุ้นกล้ามเนื้อและคอลลาเจนให้ผิวยกกระชับ
• ข้อดี ไม่เจ็บ ไม่ต้องฉีดหรือผ่าตัด
• ข้อจำกัด ราคาสูงและต้องทำหลายครั้ง
• เหมาะกับ คนที่กลัวเจ็บและไม่อยากใช้เข็ม

 

12.HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย HIFU เป็นการยิงคลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูงลงชั้น SMAS เพื่อยกกระชับและสลายไขมันเล็กน้อย
• ข้อดี ราคาย่อมเยา เหมาะกับคนผิวเริ่มหย่อน
• ข้อจำกัด อยู่ได้ 6–12 เดือน
• เหมาะกับ ผู้ที่อยากหน้าเรียวขึ้นเล็กน้อยโดยไม่เจ็บ

 

13.Linear Z
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Linear Z เป็นเทคโนโลยี HIFU แบบ Linear Shot ยิงพลังงานเป็นเส้นตรง สลายไขมันเหนียงได้ตรงจุด
• ข้อดี ลดเหนียงและกรอบหน้าได้ดี เจ็บน้อย
• ข้อจำกัด ไม่เน้นยกกระชับ
• เหมาะกับ คนที่มีไขมันใต้คางเยอะ

 

14.Indiba
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วย Indiba เป็นเทคโนโลยี RF ให้ความร้อนอ่อน ๆ คล้ายการนวดหน้า กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ให้ผิวยกกระชับ
• ข้อดี รู้สึกสบาย ช่วยลดบวมและผิวดูสดใส
• ข้อจำกัด ต้องทำบ่อย ผลไม่ชัดเจน
• เหมาะกับ คนที่อยากผ่อนคลายและดูแลผิวควบคู่กัน

 

15.ดูดไขมันหน้า
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการดูดไขมันหน้า เป็นการผ่าตัดเล็กใช้ท่อดูดไขมันส่วนเกินออกจากแก้มและเหนียง
• ข้อดี เห็นผลชัดและถาวร
• ข้อจำกัด ต้องพักฟื้นและมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด
• เหมาะกับ คนที่มีไขมันเยอะมากจนวิธีอื่นเอาไม่อยู่

 

16.ศัลยกรรมเหลากราม
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยศัลยกรรมเหลากราม เป็นการผ่าตัดปรับโครงกระดูกกรามให้เล็กลง เหมาะกับผู้ที่โครงหน้ากว้างโดยกำเนิด
• ข้อดี ผลถาวร ทำครั้งเดียวจบ
• ข้อจำกัด เจ็บมาก ต้องพักฟื้นนาน
• เหมาะกับ คนที่ต้องการเปลี่ยนรูปหน้าอย่างถาวร

 

17.บริหารหน้า (Face Yoga)
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการบริหารหน้าหรือโยคะหน้า เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าให้กระชับขึ้น เช่น การเป่าลม แก้มยก หรือยืดกล้ามเนื้อ
• ข้อดี ไม่เสียเงิน ทำได้ทุกวัน
• ข้อจำกัด ต้องทำต่อเนื่องถึงจะเห็นผล
• เหมาะกับ คนที่อยากหน้าเรียวแบบธรรมชาติ

 

18.กัวซานวดหน้า
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยกัวซานวดหน้า เป็นการขูดนวดด้วยหินกัวซา เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดบวม
• ข้อดี หน้าดูเล็กลงชั่วคราว รู้สึกผ่อนคลาย
• ข้อจำกัด ผลไม่ถาวร ต้องทำบ่อย
• เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการผิวกระชับและสดใสแบบทันใจ

 

19.ออกกำลังกายลดไขมัน
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการออกกำลังกายลดไขมัน โดยเฉพาะคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่ง ที่ช่วยลดไขมันทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณหน้า
• ข้อดี สุขภาพดีขึ้น เผาผลาญดีขึ้น
• ข้อจำกัด ต้องใช้เวลาและทำต่อเนื่อง
• เหมาะกับ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินและไขมันสะสมทั่วตัว

 

20.ควบคุมอาหาร
วิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการควบคุมอาหาร ลดโซเดียม ไขมัน และน้ำตาล เพื่อป้องกันอาการบวมน้ำ
• ข้อดี ผลลัพธ์ยั่งยืน ดีต่อสุขภาพ
• ข้อจำกัด ต้องมีวินัยสูง
• เหมาะกับ คนที่อยากหน้าเรียวอย่างถาวรโดยไม่พึ่งหัตถการ

 

เปรียบเทียบ 3 แนวทางวิธีทำให้หน้าเรียว

ประเภท วิธีทำให้หน้าเรียว	ข้อดี	ข้อจำกัด	เหมาะกับ
ดูแลตัวเอง	ความเสี่ยงน้อย ประหยัด	ผลช้า	ผู้ที่อยากหน้าเรียวแบบธรรมชาติ
หัตถการ	เห็นผลในเวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด	ต้องทำซ้ำ	ผู้ที่อยากเห็นผลโดยไม่พักฟื้นนาน
ศัลยกรรม	เห็นผลนานถาวร	เจ็บ พักฟื้นนาน	ผู้ที่โครงหน้าใหญ่จากกระดูก

 

การเตรียมตัวก่อนทำหน้าเรียว
• พักผ่อนให้เพียงพอ 6–8 ชั่วโมง
• งดแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ล่วงหน้า 1–2 วัน
• งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน
• ล้างหน้าให้สะอาดและงดแต่งหน้าในวันที่เข้ารับบริการ
• ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินรูปหน้าและเลือกวิธีที่เหมาะสม

 

การดูแลหลังทำหน้าเรียว
• งดการนวดหรือสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่ทำ
• ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับของเสีย
• หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อน
• ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ
• เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล

สำหรับผู้ที่ผ่าตัดควรพักฟื้นอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ รับประทานอาหารอ่อน และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงแรก

 

สรุป วิธีทำให้หน้าเรียว วิธีไหนดี
ไม่มีวิธีทำให้หน้าเรียวไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะใบหน้าและปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากปัญหาเกิดจากไขมัน สามารถเริ่มจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แต่หากเป็นกล้ามเนื้อหรือผิวหย่อนคล้อย การทำหัตถการอย่างโบท็อกซ์หรือ HIFU จะได้ผลดีกว่า ส่วนผู้ที่โครงหน้ากว้างจากกระดูก ศัลยกรรมผ่าตัดคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

สิ่งสำคัญก่อนเลือกวิธีทำให้หน้าเรียวคือควรปรึกษาแพทย์ เพื่อวิเคราะห์รูปหน้าอย่างละเอียด เลือกวิธีที่ความเสี่ยงน้อย เหมาะสมกับงบประมาณ และได้ผลลัพธ์หน้าเรียวดูเป็นธรรมชาติที่สุด
ไม่ว่าจะเลือกแนวทางใด การดูแลสุขภาพ การนอนพักผ่อนเพียงพอ ดื่มน้ำมาก และควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้หน้าเรียวอย่างยั่งยืน พร้อมผิวที่สุขภาพดีไปพร้อมกัน