มายาคติความงามของนางไซซี
เรื่องราวของ ไซซี ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามแห่งประวัติศาสตร์จีน และมีฉายาว่า "มัจฉาจมวารี" นั้น ไม่ได้เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่ได้ถูกยกระดับเป็น "มายาคติชองความงาม" (Myth) ในความหมายของโรล็องด์ บาร์ตส์ ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารระดับที่สองที่ทำหน้าที่ "ลดทอน" และ "ทำให้เป็นธรรมชาติ" (Naturalization) แก่อุดมการณ์บางประการ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์สัญญะในตำนานไซซี เพื่อเผยให้เห็นถึงการทำงานของอุดมการณ์ทางเพศสภาพในเรื่องของความงามและอำนาจทางการเมืองที่ซ่อนเร้นอยู่ ผูเขียนเคยเขียนเรื่องหญิงล่มเมืองไปเเล้ว ใน postjung วันนี้ผู็เขียนจะนำบทวิเคราะห์ตำนานไซซีที่ถูกประกอบสร้างมายาคติความงามนี้ มีอิทธิพลอะไรอยูเบื้องหลัง
มายาคติ: "มัจฉาจมวารี" (沉魚) การเปลี่ยน "ความงาม" ให้เป็น "คุณสมบัติที่เหนือธรรมชาติ"
สัญญะระดับที่หนึ่ง การเล่าเรื่อง ตำนาน : ภาพหญิงสาวงามซักผ้าที่ริมธาร (รูปสัญญะ) ทำให้ปลาตะลึงจนจมน้ำ (ความหมายสัญญะ)
สัญญะระดับที่สอง (มายาคติ):
รูปสัญญะของมายาคติ: ภาพปลาที่หยุดนิ่งและจมดิ่งลงสู่ก้นธาร
มายาคตินี้ทำหน้าที่ "ลบเลือน" ต้นกำเนิดทางชนชั้นและประวัติศาสตร์ของไซซีในฐานะหญิงสามัญชนจากแคว้นที่พ่ายแพ้ ให้เหลือเพียง "พลังอำนาจแห่งความงามที่บริสุทธิ์และสากล" ซึ่งมีอิทธิพลเหนือธรรมชาติ และเหนือการรับรู้ของมนุษย์ทั่วไป
ดังนั้นมายาคตินี้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าความงามคือคุณสมบัติที่มาพร้อมกับตัวบุคคลอย่างเป็น "ธรรมชาติ" ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
การสร้างมายาคติ "ความงามในฐานะภัยคุกคามทางการเมือง"
กล่าวคือ สตรีผู้ทำให้แคว้นล่มสลาย (Femme Fatale Subversion)
สัญญะระดับที่หนึ่ง การเล่าเรื่อง ตำนาน : ไซซีถูกส่งไปเป็นบรรณาการ แคว้นเยว่ที่ซ่องสุมกำลังพลจึงชนะแคว้นอู๋ได้ในเวลาต่อมา
สัญญะระดับที่สอง (มายาคติ):
รูปสัญญะของมายาคติ: ภาพอ๋องฟูไชที่ลุ่มหลงในตัวไซซีจนละเลยการบริหารบ้านเมือง ทำให้แคว้นอู๋อ่อนแอลง
มายาคตินี้ทำหน้าที่ "ลดทอน" ความซับซ้อนของสงครามและการล่มสลายทางเศรษฐศาสตร์การเมือง ความล้มเหลวในการปกครอง การสะสมกำลังของแคว้นเยว่ ให้เหลือเพียงสาเหตุที่ง่ายและเป็นนามธรรมนั่นคือ "อำนาจชั่วร้ายของสตรี" มายาคตินี้เป็นการ "ย้ายความผิด" จากความสามารถในการปกครองที่บกพร่องของผู้นำชาย ไปสู่ "พลังอำนาจทางเพศ" ที่เข้ามากัดกร่อนความเป็นรัฐชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ซึ่งเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์ที่ว่า "การปกครองที่ดีต้องปลอดจากอิทธิพลของสตรี"
การคงไว้ซึ่งอำนาจควบคุมการเล่าเรื่อง หรือ มายาคติ: ชะตากรรมที่คลุมเครือ
สัญญะระดับที่หนึ่ง ของเรื่องเล่าเเละตำนาน : ชะตากรรมของไซซีมีหลายกระแส ทั้งหายไปกับฟ่านหลี หรือถูกถ่วงน้ำ
สัญญะระดับที่สอง (มายาคติ):
รูปสัญญะของมายาคติ: การไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดและเด็ดขาด
มายาคตินี้ คือ การคงไว้ซึ่งหลายชะตากรรมทำให้มายาคติมีความยืดหยุ่นในการ "รับใช้อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน" ในแต่ละยุคสมัย แต่โดยรวมแล้วเป็นการแสดงให้เห็นว่า "สตรีผู้มีอำนาจในการพลิกชะตาของรัฐ" นั้น
ท้ายที่สุดแล้วชะตาชีวิตของเธอก็ยังคงถูกกำหนดโดยการตัดสินใจของบุรุษ (ฟ่านหลี/อ๋องแห่งเยว่) อยู่ดี ซึ่งเป็นการยืนยันถึง อำนาจควบคุม (Control) ของโครงสร้างสังคมที่มีต่อสัญลักษณ์ของสตรีเพศ
ในท้ายที่สุด ไซซีในตำนานจึงไม่ใช่แค่บุคคลในอดีต แต่เป็น "ตัวอย่างเชิงสัญญะ" ที่สังคมใช้เป็น "กล่องใส่ความคิด" (Empty Signifier) เพื่อถ่ายทอดและทำให้มายาคติเกี่ยวกับความงาม, เพศภาวะ, และการเมือง กลายเป็น "ความจริงที่เห็นได้ชัดเจนอย่างผิดพลาด" (The Falsely Obvious) ในวัฒนธรรมจีน
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผู้เขียนเอง มายาคติไซซี ได้เผยให้เห็นว่า เรื่องราวของเธอไม่ได้เป็นเพียงบันทึกของหญิงงามในประวัติศาสตร์ แต่คือ อำนาจในการประกอบสร้างความหมายที่ถูกผลิตมาเพื่อรับใช้อุดมการณ์ที่ซับซ้อน
ไซซีในฐานะบุคคลได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็น "สัญญะแห่งความกลวง" (Empty Signifier) หรือ "กล่องใส่ความคิด" ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง:
การ Depoliticize ความงาม: มายาคติ "มัจฉาจมวารี" ได้ ลบเลือน ความจริงที่ว่าความงามของเธอคือ ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ ที่ถูกฝึกฝนและใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และ ทำให้ความงามเป็นพลังเหนือธรรมชาติ
การ Naturalize ความล้มเหลว: มายาคติ "สตรีล่มเมือง" ทำหน้าที่ ย้ายความผิด จากความอ่อนแอและบกพร่องในการปกครองของผู้นำชาย อย่างอ๋องฟูไช ไปสู่ภัยคุกคามอันเป็นนามธรรมของ "อำนาจทางเพศของสตรี"
การควบคุมชะตากรรม: แม้จะเป็นวีรสตรีผู้มีบทบาทสำคัญ แต่ชะตากรรมสุดท้ายที่คลุมเครือของไซซีก็ยังคงถูกจำกัดและตัดสินใจภายใต้มือของบุรุษ ซึ่งเป็นกลไกสุดท้ายที่มายาคติใช้ในการ ยืนยันอำนาจควบคุม ของโครงสร้างสังคมแบบชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ต่อสัญลักษณ์ของสตรีเพศ
ดังนั้นจึงไม่เเปลกใจว่า ไซซีในตำนานจึงเป็นแบบจำลองอันสมบูรณ์แบบที่แสดงให้เห็นว่า สังคมได้นำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มา "บิดเบือนความเป็นจริง" หรือไม่ หรือ เพื่อสร้าง "ความจริงที่เห็นได้ชัดเจนอย่างผิดพลาด" (The Falsely Obvious) ที่ตอกย้ำให้ผู้คนยอมรับอุดมการณ์ความงามที่ผูกโยงกับอันตรายและการควบคุมอย่างเเนบเนียน เป็นธรรมชาติ
************
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
เผยสถิติเลขออกบ่อย ย้อนหลัง 20 ปี..งวดวันที่ 2 มกราคม 69
พุทธศิลป์แนวใหม่หรือวัตถุนิยม? กระแสวิจารณ์ "หัวใจพระพุทธเจ้า" ทรงอนาโตมี
"เหมย หมึกเป็นซาซิมิ" แฉผัวตัวดีแอบกินกิ๊กเด็กในร้าน
ทำไมการเล่าเรื่องของตัวเองให้คนที่ไม่สนิทฟัง ถึงสบายใจกว่า การเล่าให้คนสนิทฟัง เมื่อคนแปลกหน้าอาจเป็นเซฟโซนมากกว่าคนใกล้ตัว
กฎหมายใหม่"การส่งข้อความลๅมกอนๅจๅร" อาจติดคุก เริ่มใช้ ต้นปี 69
"เสือดาวจีนเหนือ" กลับคืนสู่ปักกิ่งหลังหายไป 3 ทศวรรษ นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานที่น่าตื่นเต้น
"กล้วยหอม" จากผลไม้พื้นบ้านสู่สินค้าเปลี่ยนโลก
ทำไมต้องเศร้าตอนพระอาทิตย์ตกดิน
วัฒนธรรมแท่งหินรูปกวาง (Deer Stones Culture) ในมองโกเลีย
สื่อนอกเจาะลึกความสูญเสีย รายงานข่าวทหารกัมพูชาบาดเจ็บ 400 นายเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 13 นาย พื้นที่เขาพระวิหารรัฐบาลสั่งปิดข่าว
สมาคมศิษย์เก่าเกาหลีแห่งกัมพูชา เรียกร้องรัฐบาลเกาหลีใต้ สืบสวนคำกล่าวอ้างว่ากองทัพอากาศไทยใช้เครื่องบินขับไล่T-50TH ที่ผลิตโดยเกาหลีใต้



