หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

มนต์เสน่ห์เเห่งวัฒนธรรมในดินแดนแห่งสงคราม

เนื้อหาโดย ดร กิฟท์นางมารพยากรณ์

        หากพูดดินแดนที่มีการสู้รบของกลุ่มตาลีบัน หลายคนต้องร้องอ๋อ...นั่นคือประเทศอัฟกานีสถาน แต่แท้จริงแล้วหากเรามองข้ามเรื่องการก่อการร้าย สงครามไป ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีมรดกทางอารยธรรม วัฒนธรรมอันเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก

            ประเทศอัฟกานีสถาน (Afghanistan) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เอมิเรตอิสลามอัฟกานิสถาน ( Islamic Emirate of Afghanistan) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีอาณาเขตทางทิศตะวันตกติดกับประเทศอิหร่าน ทางทิศใต้และทิศตะวันออกติดกับปากีสถาน ทางทิศเหนือติดเติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน และทาจิกิสถาน ส่วนทางทิศตะวันออกสุดติดประเทศจีน มีอาณาเขต 652,000 ตารางกิโลเมตร มีกรุงคาบูลเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประชากรประมาณ 40 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ปาทาน ทาจิก ฮาซาราและอุซเบกีสถาน

            บริเวณนี้เป็นอารยธรรมโบราณที่มีมนุษย์อยู่อาศัยมาอย่างน้อย 50,000 ปีจนมีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งอยู่ถาวรในบริเวณเมื่อ 9,000 ปีมาแล้ว ก่อนค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นอารยธรรมสินธุ อารยธรรมอ็อกซัสและอารยธรรมเฮลมันด์ในสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันย้ายเข้ามา ตามด้วยความเจริญของวัฒนธรรม Yaz I ยุคเหล็ก (ประมาณ 1500–1100 ปีก่อน ค.ศ.) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่มีกล่าวถึงใน Avesta คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ บริเวณนี้ได้ตกเป็นของเปอร์เซียในศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. ไปจนถึงแม่น้ำสินธุ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาอำราจบุกครองดินแดนดังกล่าวในศตวรรษที่ 4 ก่อน ค.ศ. อาณาจักรกรีก-แบ็กเทรียเป็นปลายตะวันออกสุดของอารยธรรมกรีก ต่อมาดินแดนนี้ถูกพิชิตโดยอินเดียสมัยราชวงศ์เมารยะ ทำให้ศาสนาพุทธและฮินดูแพร่หลายในพื้นที่นี้หลายศตวรรษ พระเจ้ากนิษกะแห่งจักรวรรดิกุษาณะมีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายมหายานเข้าสู่ประเทศจีนและเอเชียกลาง หลังจากนั้นมีราชวงศ์ที่นับถือพุทธปกครองดินแดนแถบนี้มาอีกหลายราชวงศ์

            ศาสนาอิสลามเข้าสู่บริเวณนี้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 แต่มีการเผยแผ่ศาสนาอย่างจริงจังระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 9 ถึง 12 และมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์อยู่อีกหลายครั้ง ประวัติศาสตร์การเมืองของรัฐอัฟกานิสถานสมัยใหม่เริ่มต้นจากราชวงศ์ Hotak ซึ่งประกาศเอกราชในอัฟกานิสถานตอนใต้ใน ค.ศ. 1709 ต่อมามีการตั้งอาณาจักรดูรานีใน ค.ศ. 1747 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 อัฟกานิสถานเป็นรัฐกันชนใน "เกมใหญ่" ระหว่างจักรวรรดิบริติชและรัสเซีย

            ในสงครามอังกฤษ-อัฟกันครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1839 ถึง 1842) กองทัพบริติชจากอินเดียเข้าควบคุมอัฟกานิสถานได้ แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้ หลังสงครามอังกฤษ-อัฟกันครั้งที่สามใน ค.ศ. 1919 อัฟกานิสถานจึงปลอดจากอิทธิพลของต่างชาติ และได้เป็นราชาธิปไตยภายใต้พระเจ้าอมานุลเลาะห์ แต่ใน ค.ศ. 1973 มีการโค่นล้มระบอบกษัตริย์และเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ ใน ค.ศ. 1978 หลังมีรัฐประหารครั้งที่สอง อัฟกานิสถานกลายเป็นรัฐสังคมนิยม และถูกสหภาพโซเวียตรุกรานในสงครามโซเวียต–อัฟกานิสถานในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ต่อกบฏมุญาฮิดีน หลังจากที่สหภาพโซเวียตถอนกำลังออกไป กลุ่มตอลิบานซึ่งเป็นพวกอิสลามมูลวิวัติก็ได้เข้ายึดครองประเทศใน ค.ศ. 1996 และปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ทำให้มีการลิดรอนสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีในอัฟกานิสถานอย่างรุนแรง ต่อมากลุ่มตอลิบานถูกโค่นจากอำนาจหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองครองใน ค.ศ. 2001 แต่ยังควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมากมาก ทำให้มีการเรียกอัฟกานิสถานว่าเป็น"รัฐบริวารของสหรัฐฯ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนกำลังออกไป ก็มีการรุกครั้งใหญ่ของตอลิบานใน ค.ศ. 2021 ส่งผลให้ตอลีบานหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง

            อัฟกานิสถานมีระดับการก่อการร้าย ความยากจน จำกัดสิทธิสตรีโดย ตาลีบัน ภาวะทุพโภชนาการเด็กและการฉ้อราษฎร์บังหลวงสูง เศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 96 ของโลก โดยมีจีดีพีมูลค่า 72,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีจีดีพีต่อหัวต่ำมาก อยู่อันดับที่ 169 จาก 186 ประเทศใน ค.ศ. 2018 อัฟกานิสถานยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ  รวมถึง ลิเทียม เหล็ก สังกะสี และ ทองแดง และเป็นหนึ่งประเทศผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ของโลกและเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์การความร่วมมืออิสลาม

            หากพูดถึงอัฟกานีสถานในความเป็นแหล่งรวมอารธรรมโบราณแล้ว คงอาจจะไม่กล่าวถึงเส้นทางสายไหมไม่ได้ เพราะอัฟกานีสถาน คือ จุดหนึ่งที่เป็นโอเอซีส และเป็นจุดศูนย์การที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันแต่โบราณ รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน

            อารยธรรมแห่งดินแดนอัฟกานิสถาน

            อัฟกานิสถาน เป็นดินแดนที่มีอดีตรุ่งเรือง เป็นส่วนหนึ่งของ เส้นทางสายไหม (Silk Road) เส้นทางที่เชื่อมโลกยุคโบราณเข้าด้วยกันเป็นสายแรก มีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายความเชื่อศาสนา เดินทางผ่านเข้ามาเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน เมื่อประมาณ 50,000 ปี – 20,000 ปีที่แล้ว ปรากกฏร่องรอยอารยธรรมของมนุษย์ขึ้นที่เชิงเขาฮินดูกูช (Hindu Kush) ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน ในช่วงเวลาต่อมาจึงเริ่มปรากฏร่องรอยของเมืองเริ่มแรกในบริเวณเมืองกันดาฮาร์ (Kandahar) รู้จักกันดีในนามของอารยธรรมหุบเขาสินธุ ที่กลายมาเป็นแหล่งผลิตลูกปัดให้กับโลกยุคโบราณในเวลาต่อมา

            ช่วงเวลา 5,000-4,000 ปี มีการเคลื่อนย้ายของคนกลุ่มใหม่ลงมาจากทางตอนเหนือ ที่รู้จักกันในชื่อ อารยัน (Aryan) แต่คงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มชาติพันธุ์เดียวที่มีความบริสุทธิ์ล้วนๆ หากแต่มีหลายต่อหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้เคียงกันเคลื่อนที่ลงมาปะทะกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ กลุ่มชนอารยันได้เข้าสู่อินเดียทางช่องเขาไคเบอร์ (Khyber Pass) และขับดันกลุ่มชนดั้งเดิมที่เรียกว่า “ดราวิเดียน” (Dravidian) ในอินเดียให้ถอยร่นลงไป หลังจากการครอบครองของเปอร์เซีย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander The Great) ยกกองทัพกรีกเข้าทำลายจักรวรรดิเปอร์เซียของจักรพรรดิดาริอุส เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตามด้วยการทำลายและสร้างเมืองใหม่จำนวนมากในเขตยึดครองของเปอร์เซีย กองทัพกรีกไล่ตีขึ้นมาทางตอนเหนือของอัฟกัน เข้าตีเมืองเบคเตรีย ตีแคว้นคันธาราฐและเมืองในลุ่มน้ำโอซุส ย้อนกลับลงตามแนวเขาฮินดูกูช ผ่านช่องเขาไคเบอร์เข้าโจมตีแคว้นปัญจาบ ข้ามแม่น้ำสินธุเข้าโจมตีบ้านเมืองในอินเดีย แล้วจึงย้อนกลับมาตีบ้านเมืองทางตอนใต้ ในสงครามครั้งนี้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

            ความขัดแย้งครั้งใหม่เกิดขึ้นระหว่างชาวกรีกผสมที่สร้างจักรวรรดิเบคเตรียร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำโอซุสทางตอนเหนือของอัฟกัน กับราชวงศ์โมริยะของชาวอารยันใหม่ในอินเดียต่างเข้าแย่งชิงแคว้นคันธาราฐ โดยเริ่มต้นที่การกลับเข้ายึดครองแคว้นคันธาราฐของราชวงศ์โมริยะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 พระเจ้าอโศกมหาราช (Ahhoka The Great) นำพุทธศาสนาเข้าประดิษฐานในแคว้นคันธาราฐ (กรุงคาบูล เปษวาร์ จาลาลาบัด) เกิดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ตักสิลา ริมแม่น้ำสินธุ มีการเผยแพร่พุทธศาสนาไปทั่วภูมิภาค ถือได้ว่า เป็นยุคทองยุคต้นของพุทธศาสนาในอัฟกานิสถานก็ว่าได้ ต่อมากษัตริย์เมนันเดอร์ (Menander) แห่งจักรวรรดิเบคเตรียกลับเข้ามายึดครองแคว้นคันธาราฐ และวัฒนธรรมทางพุทธศาสนากลับคืน

            200 ปี ต่อมา ชาวกุษาณะ (Kushan) ชนกลุ่มใหม่ลงมาจากปลายแผ่นดินจีน เข้าครอบครองลุ่มน้ำสินธุจากผู้ครอบครองเดิม พระเจ้ากนิษกะ (Kanishka) เข้ายึดครองบ้านเมืองในลุ่มน้ำคาบูล แคว้นคันธาราฐ เบคเตรีย จักรวรรดิของชาวกรีกผสมเสื่อมอำนาจลง สูญเสียดินแดนในปกครองไปเกือบทั้งหมด พระเจ้ากนิษกะสร้างเมืองเบคราม (Begram) เปษวาร์ (Peshwar เมืองมถุรา (Mathura) ริมฝั่งแม่น้ำยมุนาเป็นศูนย์กลางอาณาจักร และด้วยความมั่นคงและมั่งคั่งของจักรวรรดิ เส้นทางไหม (Silk Road) ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกโบราณ จึงเริ่มเปิดขึ้นชาวกุษาณะ ศกะ-ซินเถียน รับเอาวัฒนธรรมพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน มีการสร้างพระพุทธรูปยืนที่เมืองบามิยัน (Bamian) ตามเส้นทางสายไหม ถือได้ว่าในช่วงเวลานี้พระพุทธสาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในอัฟกานิสถานและกระจายไปสู่ดินแดนในประเทศจีนตามเส้นทางสายไหม แต่ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็นยุคทองยุคสุดท้ายของพระพุทธศาสนาในอัฟกานิสถานเช่นเดียวกัน ในช่วง 1,800 ปี มีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ขึ้นอย่างมากมาย

กลุ่มชนกลุ่มใหม่ที่หลากหลายปรากฏตัวขึ้นในช่วง 1,700-1,600 ปีที่แล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ใหม่นี้เคลื่อนตัวมาจากทุกๆ ด้านของดินแดนอัฟกันทางตอนเหนือ ชาวฮั่นขาวเข้าทำลายวัฒนธรรมพุทธศาสนาในบ้านเมืองลุ่มน้ำโอซุส แคว้นคันธาราฐ และข้ามช่องเขาไคเบอร์เข้าทำลายอินเดียเหนือของราชวงศ์คุปตะ ชาวเติร์ก ตาด (ตาตาร์) จากเอเชียกลางเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือและจักรวรรดิเปอร์เซียราชวงศ์ ซัสสาเนี่ยนเข้ามาทางตะวันตก บ้านเมืองในอัฟกานิสถานแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ชาวเติร์กสร้างจักรวรรดิกลาสนี่ (Ghazni) ขึ้นทางตอนใต้ของกรุงคาบูล นำความเชื่อทางศาสนาอิสลามจากอาหรับเข้าสู่อัฟกานิสถาน รวมทั้งยกกองทัพเข้าทำลายแคว้นของชาวฮินดูและชาวพุทธในอินเดียเหนือ ศาสนาอิสลามจึงเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่ลุ่มน้ำสินธุและลุ่มน้ำคงคา

            ต่อมาจักรวรรดิดิกอรห์ได้โค่นล้มจักรวรรดิกลาสนี่ลง ขยายอาณาเขตต่อจากจักรวรรดิดิกลาสนี่ไปจนถึงอ่าวเบงกอล ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาหลักของบ้านเมืองในพื้นที่อินเดียเหนือแทบทั้งสิ้นในเวลาต่อมา เมื่อ 800 ปีที่แล้ว เจงกีสข่านนำกองทัพชาวมองโกล เข้าทำลายจักรวรรดิอิสลามของชาวเติร์ก ลงมาจนถึงลุ่มน้ำสินธุ ชาวมองโกลบางส่วนรับเอาวัฒนธรรมอิสลามจากเจ้าของดินแดนเดิมมาใช้ปกครอง เกิดเป็นสุลต่านมองโกลชาวอิสลามมองโกลได้สร้างอาณาจักรขึ้นในเขตครอบครองอัฟกานิสถาน ขยายจักรวรรดิไปกว้างใหญ่ในสมัยของสุลต่านมองโกลตาเมอร์เลนส์ (Tamerlane) ศูนย์กลางของจักรวรรดิอยู่ที่นครซามาร์คานด์ (Samarkand) อุซเบกิสถานในปัจจุบัน ชาวอิสลาม มองโกลที่ยึดครองอินเดีย ก็ได้สร้างจักรวรรดิอิสลามโมกุลขึ้นปกครองอินเดียเหนือ

            ด้วยความแตกต่างของผู้คนที่หลากหลายความเชื่อ เชื้อชาติและผู้ปกครอง จึงเกิดการต่อสู้กันเองในดินแดนอัฟกานิสถาน กอปรที่จักรวรรดิโมเลกุลเสื่อมอำนาจลง Ahmad Shah Abdali (Durrani) ผู้นำอัฟกันจึงได้สถาปนาจักรวรรดิอัฟกานิสถานขึ้นใหม่ ขยายอาณาเขตของจักรวรรดิออกไปอย่างกว้างขวาง ถึงทะเลอาหรับและครอบคลุมลุ่มน้ำสินธุของราชวงศ์โมกุล จนกลายเป็นอาณาจักรอิสลามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงศตวรรษที่ 17 ประมาณ 3,000-2,000 ปีที่แล้ว ขณะที่ชนเผ่าอารยัน เริ่มสร้างบ้านเมืองที่เมืองคาบูล (Kabul) เมืองเบคเตรีย (Balkh) แคว้นคันธาราฐ (Gandhara) ก็ต้องรับการมาเยือนของจักรวรรดิเปอร์เซียที่กำลังยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองที่สุดในเมโสโปเตเมีย ชนเผ่าเปอร์เซียโดยจักรพรรดิดาริอุส  (Darius The Great) แห่งราชวงศ์อาคีเมนิค (Achaemenic) ยกกองทัพเข้าตีและทำลายแคว้นคันธาราฐของอารยัน เบิกทางผ่านช่องเขาไคเบอร์ (Khyber Pass) ลงไปยังบ้านเมืองในลุ่มน้ำสินธุ เปอร์เซียครอบครองอัฟกานิสถานยาวนานกว่า 200 ปี จึงผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่าอารยันกับชาวเปอร์เซียน กลายมาเป็นชาวอัฟกันพื้นเมือง

            มรดกทางวัฒนธรรมโบราณในประเทศอัฟกานีสถานมีอยู่มากมาย และหลายที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูสเนสโก วันนี้จะมาแนะนำในแหล่งที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งอารยธรรม และการรอดพ้นจากการทำลาย หรือบางที่ก็อาจจะโดนทำลายเสียหายไปบ้างแล้ว

            มัสยิดบลู (Blue Mosque) เป็นหนึ่งในจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 3 โดยมัสยิดแห่งนี้มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นในการออกแบบด้วยโทนสีฟ้า และการออกแบบสไตล์สถาปัตยกรรมเปอร์เซียน

            มัสยิดวันศุกร์ (Friday Mosque) อีกหนึ่งมัสยิดใหญ่ของเมือง Herat เมืองโบราณทางตะวันตกของอัฟกานิสถาน มัสยิดแห่งนี้มีอายุเก่าแก่มาก แต่ยังคงมีการรักษาสถาปัตยกรรมเดิมบางส่วนไว้ ตัวมัสยิดมีสีฟ้าอ่อน

            หอกระจายเสียงและซากโบราณคดีแห่งญาม (Minaret and Archaeological Remains of Jam) ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกของอัฟกานิสถาน โดยเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ตัวอาคารที่สูงเป็นรูปกรวย สร้างจากหินทรายเเละมีการเเกะสลักอย่างสวยงาม ปัจจุบันนี้สถานที่แห่งนี้ยังคงตั้งอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมาก

            พิพิธภัณฑ์เเห่งชาติอัฟกานิสถาน (National Museum of Afghanistan) ตั้งอยู่ในกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน ที่นี่เป็นที่รวบรวมวัตถุโบราณที่ถูกขุดค้นพบในประเทศ เเละสามารถรอดพ้นจากภัยคุกคามต่าง ๆ มาได้ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากชิ้นเท่ากับในพิพิธภัณฑ์ประเทศอื่น แต่นับว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีความล้ำค่าเป็นอย่างมาก

            พระพุทธรูปบามิยัน (Buddhas of Bamiyan) ตั้งอยู่ที่หุบเขาเมืองบามิยัน ห่างจากกรุงคาบูล เมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 240 กิโลเมตร ภายในหุบเขามีพระพุทธรูปยืนจำนวน 2 องค์ ที่สลักอยู่บนหน้าผาสูง 2,500 เมตร ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “พระพุทธรูปแกะสลักฝาผนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก” แต่ในปี 2544 พระพุทธรูปนี้ถูกทำลายจากกลุ่มตาลิบัน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งนอกจากความสวยงามของงานแกะสลักแล้ว รอบหุบเขาบามิยันยังเต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติอีกด้วย

            หุบเขา Panjshir อยู่ในเชิงเขาของเทือกเขาฮินดูกูช ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน ที่หุบเขานี้มีความสวยงามของวิวเทือกเขา ผสมกับวิวแม่น้ำที่คดเคี้ยว ที่ล้อมรอบหมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ ที่มีความเขียวขจีของทุ่งหญ้า

            อย่างไรก็ตามประเทศอัฟกานิสถาน ถือเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ที่ยังถูกรอให้ผู้ที่หลงใหลด้านวัฒนธรรมเดินทางไปพิสูจน์ ซึ่งภายหลังที่กลุ่มตาลิบันครองอำนาจในการบริหารประเทศ จึงน่าจับตาการเปิดประเทศและการใช้ทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด

*************

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
40 VOTES (5/5 จาก 8 คน)
VOTED: projor007, kyogisa, แด๊ดดี้จอเเดน, Freya Rune, famai, goldfish13, davin, ดร กิฟท์นางมารพยากรณ์
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการีเปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหมสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนายชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้เหนือความเชื่อ! "ซูเปอร์ฟูลมูน" เรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้...
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ตระกูลฮุน" ถึงคราวอวสาน! คนในชิ่งหนีปิดฮุยวัน-ปชช.หมดตัวเงินในบัญชีถอนไม่ได้เหนือความเชื่อ! "ซูเปอร์ฟูลมูน" เรื่องที่เราอาจไม่เคยรู้...“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิดน้องแร็คคูนบุกร้านค้า ดื่มจัดหนัก จนเมาค้าง เห็นแล้วนึกถึงคนเหมือนกันนะเนี่ย (ฮา)นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
อัลปากา VS อัลปากา: พลังศักดิ์สิทธิ์จากสัตว์แห่งอินคา สู่โลหะมงคลในวงการพระเครื่องไทยถอดรหัสเสน่ห์ร้ายของยอดนักรัก! ทายนิสัยความเป็น "คาสโนว่าและคลาสโนวี่" ตามเดือนเกิด พร้อมส่องพฤติกรรมการแสดงออกเปิดตำนาน "ฮัตเชปซุต" ฟาโรห์หญิงผู้ต้อง "สวมเครา" ท้าทายกฎบุรุษ จนถูกลบชื่อนาน 3,500 ปี!บัวน่าปลูก...สายมูต้องห้ามพลาด! เสริมมงคลให้ชีวิตรุ่งเรือง
ตั้งกระทู้ใหม่