เส้นทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
การเดินทางของพ่อค้าเร่ในยุคอารยธรรมโบราณ ที่ได้เดินทางไปในเมืองต่างๆบนเส้นทางสายไหม จากซีกโลกตะวันออกไปยังซีกโลกตะวันตก ถือเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้น การผจญภัย และจิตวิญญาณแห่งเส้นทางการค้านี้ตั้งแต่ อารยธรรมโบราณก่อนคริสตกาลจนถึงยุคกลาง โดยมีอุปสรรคเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมถอยลง
ในศตวรรษที่ 19 เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชโธเฟน (Ferdinand von Richthofen) นักภูมิศาสตร์ชาวเยอรมัน เริ่มมองหาคำศัพท์ที่จะใช้ในการอธิบายเส้นทางการค้าสำหรับการขนส่งผ้าไหมและสินค้าหรูหราอื่น ๆ ระหว่างแถบตะวันออกไกลและเมดิเตอร์เรเนียน
ในช่วงศตวรรษแรกก่อนคริสตกาลจนถึงช่วงยุคกลาง ท้ายที่สุด เฟอร์ดินานด์ก็ได้ตัดสินใจตั้งชื่อเส้นทางสายนี้ว่า "เส้นทางสายไหม" ตามสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งของโลกตะวันออกมากที่สุด และถือเป็นเส้นทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุด
เส้นทางสายไหมซึ่งเชื่อมต่อโลกตะวันออกและตะวันตกมานานกว่า 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยเป็นทั้งเส้นทางบกและเส้นทางทะเลที่อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนสินค้า วัฒนธรรม และเทคโนโลยีระหว่างอารยธรรมต่างๆ ทั่วทั้งยูเรเซีย
อย่างไรก็ตามถึงแม้การค้าจะเจริญรุ่งเรืองเส้นทางสายไหมนี้ส่งผลให้ตามรอยแนวเส้นทางเกิดเมืองใหม่ๆ ที่มีความเจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางความมั่งคั่งที่แทบจะจินตนาการไม่ถึง เป็นที่ซึ่งการค้าขายและการแลกเปลี่ยนสินค้าเกิดขึ้นระหว่างทาง แม้ว่าผ้าไหมจีนจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่อูฐไปจนถึงกาแฟก็ถูกค้าขายไปตามเส้นทาง ปัจจุบัน มหานครโบราณเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง อาทิเช่นมหานครเพตรา (ที่ผู้เขียนเคยเขียนมาในมุมมองของแหล่งการค้าอารยธรรมโบราณ) เป็นเครื่องเตือนใจอันน่าทึ่งถึงพลังและความเจริญรุ่งเรืองของเส้นทางการค้าสายไหม ซึ่งหากมองในมุมมองที่เห็นเพตราแล้วคือเมืองในอดีตที่ล่มสลายไปพร้อมกับรูปแบบการเดินทางที่เปลี่ยนจากทางบกไปเป็นทางน้ำแล้ว
ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 38 พ.ศ. 2557 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ มีมติให้ขึ้นทะเบียนเส้นทางสายไหมในจีน คาซัคสถาน และคีร์กีซสถาน เป็นแหล่งมรดกโลกภายใต้ชื่อ "เส้นทางสายไหม"
ในทัศนะของผู้เขียนตั้งข้อสงสัยว่า แล้วในความเป็นมรดกโลกของเส้นทางสายไหมนี้ มีเมืองไหนบ้างที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยอารยธรรมทางการค้าบนเส้นทางสายไหมและยังธำรงค์คงอยู่ให้คนรุ่นไหมได้รับกลิ่นอายความเป็นเมืองที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน และที่เป็นจุดพักของพ่อค้าเร่เหล่านี้มีอะไรไรบ้าง เลยขอมาเล่าเรื่องราวแนวเส้นทางที่เป็นมรดกโลก และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจในเส้นทางสายไหมนี้
เมืองคีวา อุซเบกิสถาน : คีวาเป็นหนึ่งในสามเมืองในอุซเบกิสถานซึ่งเป็นจุดแวะพักสำคัญตลอดเส้นทางสายไหม อิชอน-กาลา เมืองกำแพงยุคกลางที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม และขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย เป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานที่เกี่ยวกับเส้นทางการค้าบนเส้นทางสายไหม ได้รับการบูรณะหลายสิบแห่ง เช่น พระราชวังทาช-เฮาลีอันวิจิตรตระการตา และหออะซานคาลตา-ไมเนอร์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ
เมืองซีอาน ประเทศจีน : เดิมชื่อฉางอัน เมืองหลวงโบราณแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก ค้นพบโดยจางเฉียมในสมัยราชวงศ์ฮั่น ในฐานะจุดเริ่มต้นเส้นทางสายไหมทางตะวันออก ซีอานเป็นสะพานสำคัญระหว่างจีนยุโรป และตะวันออกกลาง และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ
คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของซีอานบนเส้นทางสายไหม ทำให้ซีอานเป็นสถานที่ที่ต้องไปเยือนอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่มีกำแพงเมืองจีนโบราณ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แต่ซีอานยังมีมัสยิดใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง และสุสานทหารดินเผา ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสุสานขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ จิ้นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน
เมืองเมิร์ฟ เติร์กเมนิสถาน : ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรือง แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกแห่งนี้เคยถูกประเมินว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถูกทำลายลงในสมัยจักรวรรดิมองโกล และไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แหล่งโบราณคดีที่ไม่มีใครอาศัยอยู่แห่งนี้ แท้จริงแล้วประกอบด้วยเมืองห้าเมืองที่สร้างขึ้นติดกัน เนื่องจากเส้นทางน้ำที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในขณะนั้น อุทยานโบราณคดีเมิร์ฟได้รับฉายาว่า "เมืองเร่ร่อน" ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,000 เฮกตาร์ กระจายตัวอยู่ทั่วที่ราบอันแห้งแล้งทางตอนเหนือของไบรามาลี
เมืองซามาร์คันด์ อุซเบกิสถาน : เมืองซามาร์คันด์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเคยยึดครอง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยเก่าแก่ที่สุดในเอเชียกลาง และได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในรายชื่อมรดกโลกของยูเนสโกในปี พ.ศ. 2544 แม้ว่าจะมีสถานที่ให้ชมและทำมากมายที่นี่ แต่ซามาร์คันด์มีชื่อเสียงมากที่สุดจากจัตุรัสเรจิสถาน ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนสอนศาสนา (madrasah) ที่น่าทึ่งสามแห่ง และมัสยิดบีบี-ข่านยม์
เมืองอาชกาบัต เติร์กเมนิสถาน : ได้รับฉายาว่า "ลาสเวกัสแห่งคาราคุม" เป็นหนึ่งในเมืองบนเส้นทางสายไหมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายคาราคุมและเทือกเขาโคเพตดัก ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมัสยิดสีทองอร่าม พระราชวังหินอ่อนสีขาว และอนุสาวรีย์อันตระการตา เช่น หอคอยอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญสูง 185 เมตร และอนุสาวรีย์แห่งความเป็นกลาง ซุ้มประตูโค้งสามขาขนาดใหญ่
เมืองเตหะราน อิหร่าน : เมืองหลวงของอิหร่านอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 18,909 ตารางกิโลเมตร สร้างขึ้นบนพื้นที่เดิมของชุมชนเรย์ หรือรายี ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางสายไหมหลายแห่งที่เชื่อมต่อกันในอิหร่าน สถานที่สำคัญที่นี่คือ เรย์ บาซาร์ และพระราชวังโกลสถานอันวิจิตร
เมืองบูคารา อุซเบกิสถาน : บูคารา หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไข่มุกแห่งเส้นทางสายไหม" เป็นเมืองที่สวยงาม มีอายุกว่า 2,500 ปี ร่องรอยทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของเมืองนี้ สะท้อนผ่านอนุสรณ์สถานทางสถาปัตยกรรม 140 แห่งที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลา ซึ่งรวมถึงสุสานอิสมาอิล ซามานี ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 รวมถึงมัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองบูคาราอันเก่าแก่
เมืองอัลมาตี คาซัคสถาน : ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของหนึ่งในเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของเอเชียกลาง อัลมาตีเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าและการเกษตรชั้นนำบนเส้นทางสายไหมตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 14 และยังมีโรงกษาปณ์ประจำรัฐของตนเองอีกด้วย นอกจากนี้เมืองที่ใหญ่ที่สุดของคาซัคสถานที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาทรานส์-อิลี-อาลาเตาอันสง่างาม ถือเป็นเมืองที่มีความสวยงามที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักเล่นสกีในช่วงฤดูหนาวอีกด้วย
อิสตันบูล ตุรกี : เดิมคือ คอนสแตนติโนเปิล เป็น จุดแวะพักที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่ง บนเส้นทางสายไหม เนื่องจากทำเลที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์ เป็น จุดบรรจบของเส้นทางบกและเส้นทางทะเล ที่เชื่อมต่อยุโรป เอเชีย และแอฟริกา สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น สุเหร่าโซเฟีย (Hagia Sophia) เป็นพยานถึงความรุ่งเรืองและความสำคัญของเมืองบนเส้นทางสายไหม
เพตรา จอร์แดน : เมืองโบราณของจอร์แดนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของชาวนาบาเตียน โดยมีทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเอื้อต่อการค้าผ้าไหม เครื่องเทศ และสินค้าอื่น ๆ ที่เดินทางจากตะวันออกไกลไปยังโลกตะวันตกผ่านเส้นทางหลัก เมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะ "นครสีชมพู" เพราะสถาปัตยกรรมอันงดงามที่แกะสลักจากหินทรายสีชมพู ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของโลกเเห่งหนึ่ง
เมืองทูรูฟาน หรือ ทูรูปาน จีน : เป็นเมืองสำคัญในมณฑลซินเจียง ประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของเส้นทางสายไหมสายเหนือและสายกลาง โดยมีลักษณะเด่นคือเป็นดินแดนที่แห้งแล้งและร้อนที่สุดในจีน นั่นคือทะเลทรายโกบี ถือเป็นทะเลทรายที่ยาวที่สุดในเอเชีย แต่ก็มีระบบชลประทานใต้ดินที่ยอดเยี่ยม และมีเมืองโบราณสำคัญอย่างเมืองโบราณเจียวเหอกู่เฉิน และ เมืองโบราณเกาชาง รวมถึงเป็นแหล่งปลูกองุ่นไร้เมล็ดที่สำคัญของจีน
นอกจากนี้ทูรูฟานเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมสายเหนือและสายกลาง ทำให้เป็นเมืองสำคัญในการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในอดีต
เมืองเจนัว อิตาลี : เจนัว (Genoa) เมืองท่าที่ตั้งอยู่ในอิตาลี มีประวัติความเป็นมายาวนานและทรงคุณค่า ด้วยการเป็นศูนย์กลางทางการค้าสำคัญในบนเส้นทางสายไหม และยุคกลาง เมืองนี้เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่อประมาณ 800 ปีที่แล้ว
ในช่วงต้นยุคกลาง (medieval period) เจนัวเป็นหนึ่งในเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของอิตาลี โดยเฉพาะในด้านการค้า การเดินเรือ และการมีอิทธิพลต่อการสร้างเส้นทางการค้าระหว่างยุโรปและโลกตะวันออก ในปัจจุบัน เจนัวยังคงเป็นเมืองที่สำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เมืองนี้เป็นที่รู้จักในฐานะมรดกโลกที่ได้รับการคุ้มครองจากองค์การยูเนสโก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น มหาวิหารซานลอเรนโซ (San Lorenzo Cathedral) และพระราชวังโดซา (Palazzo Ducale)
จะเห็นได้ว่าเมืองที่เป็นจุดพักของพ่อค้าเร่ตามแนวเส้นทางสายไหมนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดพักทางการค้า แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันแล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรม นวัตรกรรมต่างๆ จากซีกโลกตะวันออก และโลกตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน ดั่งจะเห็นได้จากร่องรอยที่เหลือไว้ในอารยธรรม สิ่งปลูกสร้าง โบราณสถานต่างๆที่ทำให้คนยุคหลังเห็นถึงความเพียรพยาม และความมุ่งมั่น บนเส้นทางนี้
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า เส้นทางสายไหมนี้ถือเป็นเส้นทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแล้ว ยังมีเมืองเป็นมรดกโลกอีกมากมายตามแนวเส้นทาง และมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากที่สุด
****
วิเคราะห์สถิติหวยปีใหม่ 2 มกราคม: เจาะลึกเลขเด่นรับโชควันศุกร์ 2569
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
กฎหมายใหม่"การส่งข้อความลๅมกอนๅจๅร" อาจติดคุก เริ่มใช้ ต้นปี 69
แม่น้ำหนึ่ง ประเดิมเลขเด็ดต้อนรับงวดแรกของปี 2569
คุกกี้เสี่ยงทาย... ทายนิสัยความขี้อ้อนของคนเกิดทั้ง 7 วัน
"กล้วยหอม" จากผลไม้พื้นบ้านสู่สินค้าเปลี่ยนโลก
พุทธศิลป์แนวใหม่หรือวัตถุนิยม? กระแสวิจารณ์ "หัวใจพระพุทธเจ้า" ทรงอนาโตมี
Trip “พม่า ท่าขี้เหล็ก” ฉบับคนไปทำงาน
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
ปรับทัศนคติให้ถูกทาง
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568










