9 วิธีฮีลใจ จากความเหนื่อยล้า เมื่อเหนื่อยนักก็พักบ้าง

นอกจากภาระงาน และ กิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวันจะทำให้รู้สึกเหนื่อย พฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็อาจทำให้รู้สึกอ่อนล้า หมดแรงในการทำสิ่งอื่น ๆ ต่อไปได้ ทว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยเคล็ดลับต่าง ๆ อาจช่วยทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้บ้าง

1.ปรับพฤติกรรมให้เข้ากับนาฬิกาชีวิต บางคนอาจรู้สึกสดชื่นในช่วงเวลาตอนเช้า บางคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเย็น โดยความแตกต่างของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางสมอง และ พันธุกรรม ซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ควรสังเกตนาฬิกาชีวิตของตนเองให้ดี แล้วจัดสรรกิจกรรม หรือ สิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาที่ร่างกายมีพลังงานมากที่สุด

2.เพิ่มปริมาณการบริโภคแมกนีเซียม ภาวะขาดแมกนีเซียมอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และ ร่างกายต้องการออกซิเจนมากกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างกายทำงานหนัก อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยได้ จึงควรกินอาหารที่มีแมกนีเซียมในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ปริมาณที่แนะนำต่อวัน คือ 350 มิลลิกรัมสำหรับผู้ชาย และ 300 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ อัลมอนด์ เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ธัญพืช เนื้อปลา

3.ดื่มให้เพียงพอ ทุกวันร่างกายจะสูญเสียน้ำจากการถ่ายปัสสาวะ และ การเสียเหงื่อ จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่เสียไป ป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ ภาวะนี้อาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง อารมณ์ และ ระดับพลังงานในร่างกาย จนทำให้รู้สึกเหนื่อย ควรดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหายน้ำ หรือ ในตอนที่มีเหงื่อออกมาก ทั้งจากสภาพอากาศที่ร้อน หรือ จากการออกกำลังกาย ทั้งนี้ ผู้สูงอายุอาจไม่ค่อยรู้สึกกระหายน้ำ แม้ว่าร่างกายจะต้องการน้ำก็ตาม จึงควรพยายามดื่มน้ำบ่อย ๆ ด้วยเช่นกัน

4.เข้านอนเร็วขึ้น การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าระหว่างวัน ควรเข้านอนให้เร็วขึ้นเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ หรือ อาจงีบหลับช่วงสั้น ๆ ในระหว่างวัน เป็นเวลาประมาณ 10 นาที เพื่อช่วยเพิ่มพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ นอกจากนี้ การดื่มกาแฟหลังงีบหลับอาจช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น  แต่ไม่ควรงีบหลับนานเกิน 30 นาที เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้

5.Relax พัก ปล่อยใจไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ภาวะเครียดอาจทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ ทว่าการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด อาจช่วยให้รู้สึกมีพลังขึ้นมาได้ เช่น ให้เวลาตัวเองมากขึ้น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ออกไปเดินเล่น ดูอะไรไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย จะช่วยให้สมองผ่อนคลายจากความเครียดความเหนื่อยล้าลงได้

6.เข้าสังคม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการเก็บตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวอาจส่งผลกระทบต่อภาวะทางอารมณ์ อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า โดยเฉพาะเมื่ออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือไม่มีแรงทำกิจกรรมใด ๆ ควรออกไปสังสรรค์ พบปะพูดคุยกับเพื่อน เข้าร่วมกลุ่มทางสังคม ทำงานอดิเรก เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น

7.แบ่งเบาภาระงาน ภาระหน้าที่ที่หนักเกินไปอาจทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ควรจัดลำดับความสำคัญของงานให้ดี แยกสิ่งที่ต้องทำก่อนกับสิ่งที่สามารถทำทีหลังได้ เพื่อให้สามารถบริหารเวลา และ จัดระเบียบการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีปริมาณงานมากเกินกว่าจะบริหารเวลาได้ตามกำหนด อาจขอความช่วยเหลือจากเพื่อน หรือ คนรอบข้าง เพื่อช่วยให้งานสำเร็จลุล่วง

8.ฝึกนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ การนั่งสมาธิให้ได้สักวันละ 15 นาที นอกจากจะทำให้จิตใจสงบ สมองยังแจ่มใส ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดลงได้ ส่งผลให้ร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

9.ออกเดินทางเปิดมุมมองใหม่ การเดินทางเป็นการเยียวยาตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้สัมผัสเรื่องราวระหว่างการเดินทาง อยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ทะเล ภูเขา ได้ยินเสียงตัวเองมากขึ้น การเดินทางนอกจากจะให้ประสบการณ์มากมาย ยังทำให้ละทิ้งและปล่อยวางความเครียดทุกอย่างลงได้