มงกุฎเจ้าประเทศราช ของ สยาม
ก่อนการเข้ามาของลัทธิอาณานิคมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีรูปแบบการปกครองขอบเขตอำนาจกันอย่างหลวมๆรัฐเล็ก จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยรัฐใหญ่เพื่อความอยู่รอดอย่างที่เรียกกันว่าสมัย “รัฐจารีต” เหล่าบรรดากษัตริย์ หรือผู้นำรัฐเล็ก หรือ รัฐห่างไกลขอบขัณฑสีมา มักเข้ามาขอพึ่งพิงพระบารมีกษัตริย์รัฐใหญ่ เพื่อให้ได้การรับรองสถานะ หรือความช่วยเหลือในบางประการ หรือการได้ครอบครองผ่านการทำสงครามก็ตาม รัฐเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “ประเทศราช” ซึ่งมีกษัตริย์หรือเจ้าท้องถิ่นเป็นผู้ปกครองเดิมอยู่ โดยเมื่อตกเป็นรัฐประเทศราชแล้วจะต้องมีหน้าที่ถวายบรรณาการต่อรัฐที่ตัวเองขึ้นอยู่ด้วย อาจจะทุกๆ 3 หรือ 5 ปีตามแต่จะกำหนด
สยามในยุครัฐจารีตสมัยรัตนโกสินทร์เองก็มี รัฐประเทศราชที่ขึ้นต่อพระอาณาจักรหลายพื้นที่ เช่น อาณาจักรล้านนา(เจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือ), อาณาจักรล้านช้างร่มขาวหลวงพระบาง, อาณาจักรกรุงศรีสัตนาคนหุตล้างช้างเวียงจันทร์, นครจำปาศักดิ์, กัมพูชา, สี่รัฐมาลัย (ไทรบุรี,กลันตัน,ตรังกานู,ปาลิส) โดยเหล่าประเทศราชก็จะมีหน้าที่และความสำคัญแตกต่างกันไป แต่ในบางครั้งเจ้าประเทศราชที่สามารถทำราชการและมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์สยามเป็นที่ประจักษ์จนพอพระราชหฤทัย ก็อาจจะได้รับสถาปนาพระเกียรติยศให้สูงส่งขึ้น จากพระยาประเทศราช ให้เป็น “พระเจ้าประเทศราช” ซึ่งจะได้รับเครื่องประกอบพระเกียรติยศที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของตำแหน่งนี้ นั้นคือ มหามงกุฎ หรือ พระชฎา หรือ Crown king นั้นเอง โดยในบทความนี้จะได้นำเสนอเกี่ยวกับ มหามงกุฎ และ พระชฎา ที่มีการพระราชทานโดยพระมหากษัตริย์สยามให้แก่เจ้าประเทศราช
1. พระมหามงกุฎ

ภาพลายเส้นจำลองด้านหน้า และด้านข้างของพระมหามงกุฎ และ องค์พระมหามงกุฎ
พร้อมเครื่องประกอบเกียรติยศกษัตริย์กัมพูชา
พบว่ามีการพระราชทานพระมหามงกุฎ ศิราภรณ์ชั้นเอก สำหรับเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศกษัตริย์ประเทศราช เพียงรัฐเดียวนั้นคือ กรุงกัมพูชา ซึ่งองค์ที่ปรากฎในภาพข้างต้นเป็นของที่ได้รับพระราชทานโดยพระบาทสมเด็จนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีปรากฎในพงศาวดารว่า "…พระราชทานองค์ด้วงเป็นพระหริรักษรามาอิศราธิบดี วันพุธ เดือน ๒ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมะแม นพศก เครื่องยศ พระมหามงกุฎองค์ ๑ และอื่นๆอีกรวม 17 รายการ..." และยังมีหลักฐานในนิราศนครวัดของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึง พระมหามงกุฎไว้ว่า “…ได้บอกเขาไว้ว่าอยากดูเครื่องต้น เขาเชิญเครื่องทรงพระเศียรพระเจ้ากรุงกัมพูชามาตั้งให้ดู ๔ องค์ และอธิบายให้ทราบ คือ พระมหามงกุฎลงยา ซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนั้น สำหรับทรงราชาภิเษก..." (ศานติ ภักดีคำ ให้ข้อสันนิษฐานในศิลปวัฒนธรรมว่า อาจะเป็นเครื่องทรงชุดเดียวกันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เนื่องจากในช่วงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์มักเกิดความไม่สงบในราชบัลลังก์กัมพูชาบ่อยครั้งทำให้ต้องมีการขนเครื่องทรงย้ายเข้ามายังกรุงเทพฯ)
รูปแบบศิลปะ พระมหามงกุฎ องค์นี้เป็นมงกุฎทรงยอดชัย เป็นเครื่องศิราภรณ์อย่างเอก มีกรรเจียกจอน กุณฑล สายรัดพระหนุ สันนิษฐานจากภาพและนิราศนครวัดพบว่าตัวองค์ทำจากทองคำลงยา ประดับอัญมณี ติดดอกไม้ไหวประจำยาม (ตามภาพประกอบ) การที่ได้รับพระราชทานพระมหามงกุฎที่มีพระเกียรติยศอย่างเอกนี้ อาจเป็นเพราะกษัตริย์กัมพูชานั้นมีเกียรติสูงกว่าเจ้าประเทศราชอื่นๆ ด้วยสืบเชื้อสายพระมหากษัตริย์มาโดยมิได้ขาดสาย หรือสถาปนาขึ้นจากสามัญชน ทั้งยังเป็นผู้ที่กษัตริย์สยามได้ชุบเลี้ยงเสมือนพระราชบุตรบุญธรรม ในกรุงเทพสมัยเยาว์วัยก่อนได้ครองราชสมบัติ
พระมหามงกุฎองค์นี้ใช้ประกอบในการบรมราชาภิเษกกษัตริย์และพระมหากษัตริย์กัมพูชามาจนถึงสมัยก่อนเหตุการณ์สงครามกลางเมืองคาดว่าสูญหายไปจากภัยสงคราม โดยองค์ปัจจุบันทำทดแทนขึ้นภายหลังเนื่องจากรูปแบบองค์พระมหามงกุฎมีความใหญ่หนาขึ้น รายละเอียดต่างๆไม่คมชัด และมีการบุกำมะหยี่พื้นแดงภายใน
ภาพพระมหากษัตริย์กัมพูชาที่ทรงพระมหามงกุฎที่ได้รับพระราชทานจากสยาม เรียงจากซ้ายไปขวาตามลำดับการครองราชสมบัติ 1.พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร , 2.พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์, 3.พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์, 4.พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ, 5.พระบาทสมเด็จพระนโรดม สุรามฤต
2 พระชฎาเดินหน สำหรับ พระเจ้าประเทศราช

ภาพลายเส้นจำลองพระชฎายอดเดินหน และ องค์พระชฎาพร้อมเครื่องประกอบเกียรติยศพระเจ้านครน่าน และ พระชฎาพระเจ้านครหลวงพระบาง
พบว่ามีการพระราชทานให้กับพระเจ้าประเทศราชเพียง 2 รัฐ ได้แก่ ล้านช้างหลวงพระบาง และ นครน่าน มีหลักฐานปรากฎคราวพระราชทานให้พระเจ้าหลวงพระบางเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 มีระบุในจดหมายเหตุหลวงพระบางว่า "…จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องยศกกุธภัณฑ์ 5 ประการ ให้เจ้ามังธาตุราชเพิ่มเติมขึ้นอีก และให้เจ้ามังธาตุราช เจ้าเมืองหลวงพระบาง กลับขึ้นไปว่าราชการบ้านเมือง…" โดยเครื่องกกุธภัณฑ์สำรับนี้คาดว่ามีพระชฎาเดินหนประกอบอยู่ด้วย จากการค้นพบภาพถ่ายมีการใช้ในงานพิธีราชาภิเษกของ พระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ , พระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร , สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ (ก่อนได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส) ภายหลังได้รับเอกราชแล้วพบว่ามีการเปลี่ยนศิราภรณ์จากพระชฎาเดินหนเป็นพระมหามงกุฎยอดชัยนับตั้งแต่การครองราชสมบัติครบ 50 ปี ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ พระชฎาที่คาดว่าเป็นเครื่องยศพระราชทานจากกษัตริย์สยามปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง
และคราวพระราชทานให้พระเจ้านครน่าน เกิดขึ้นในสมับรัชกาลที่ 5 มีระบุในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการตั้งพระเจ้านครเมืองน่าน เล่ม 20 หน้าที่ 607 วันที่ 29 พฤศจิกายน ร.ศ.122 "...ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสุพรรณบัตร ตั้งให้ เจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชเจ้านครเมืองน่าน เป็น พระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้าพนักงานสวมเสื้อครุยพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช แลสวมชฎา พระราชทาน..." แม้จะมีการสถาปนาเจ้าผู้ครองนครหัวเมืองล้านนาให้มีเกียรติยศเป็นพระเจ้าประเทศราชหลายพระองค์ เช่น พระเจ้าเชียงใหม่, พระเจ้าลำพูนไชย, พระเจ้านครลำปาง แต่กลับมีเพียงพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช เพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานพระชฎาในตำแหน่งพระเจ้าประเทศราชเท่านั้น และยังพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช ยังถือได้ว่าเป็นพระเจ้าประเทศราชพระองค์สุดได้ที่สยามได้มีการสถาปนา ก่อนมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองในสมัยต่อๆมาอีกด้วย
รูปแบบศิลปะ พระชฎายอดเดินหน มีศักดิ์เป็นศิราภรณ์ประกอบศรีษะชั้นตรี มีกรรเจียกจอน กุณฑล สายรัดพระหนุ ตัวองค์คาดว่าเป็นทองติดกระจังประดับอัญมณี ซึ่งจะส่งพระราชทานให้แก่เจ้านายชั้นเจ้าฟ้า,พระองค์เจ้า(ในกรณีพิเศษ เช่น งานโสกันต์) หรือ พระเจ้าประเทศ
ภาพพระพระเจ้าประเทศราชที่ได้ทรง พระชฎาประกอบพระเกียรติยศ เรียงจากซ้ายไปขวา 1.พระเจ้าจันทรเทพประภาคุณ นครหลวงพระบาง ,2. พระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร นครหลวงพระบาง ,3.สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ กษัตริย์ราชอาณาจักรลาว , 4.พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้าผู้ครองนครน่าน
อ้างอิงจาก:
-ราชกิจจานุเบกษา เรื่องการตั้งพระเจ้านครเมืองน่าน เล่ม 20 หน้าที่ 607 วันที่ 29 พฤศจิกายน ร.ศ.122
-เครื่องศิราภรณ์.บริษัท สยาม แอดมินนิสเทรทีฟ แมเนจเม้นท์ จำกัด.ผู้เขียน อาจารย์สมชาย ศุภลักษณ์อำไพพร
-ศิลปภัณฑ์.สิปปกร.แพร่พิทยา พระนคร:2502
-ร่องรอย พระมหามงกุฎ” และของที่ราชวงศ์ไทยพระราชทานกษัตริย์กัมพูชา สมัยรัตนโกสินทร์.รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ.ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์ .3 มีนาคม 2565
-ขอบคุณภาพประกอบจาก : Facebook เพจ History of Laos , วิกิพีเดีย , Pinterrest
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
เปิดเงื่อนไขพนักงาน "ไดกิ้น" ที่จะได้รับทอง ไม่ขาด ไม่ลา ไม่สาย
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”
ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิด
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
Unseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย