บรรพบุรุษชาวเขมรในพระนคร… เรื่องราวของผู้คนที่เคย “เป็นผู้อพยพ” และวันหนึ่งกลายมาเป็น “ส่วนหนึ่งของแผ่นดิน”
เมื่อเอ่ยถึง “ชาวเขมรในกรุงเทพฯ” หลายท่านอาจนึกไม่ถึงว่า แท้จริงแล้วในใจกลางพระนครของเรานั้น เคยเป็นถิ่นฐานของชาวเขมรจำนวนไม่น้อยที่อพยพ หรือถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในสยาม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เหตุการณ์ในอดีตเป็นเรื่องซับซ้อนของการเมือง การแย่งชิงราชบัลลังก์ และการวางหมากกลทางอำนาจระหว่างราชสำนักสยาม เขมร และญวน (เวียดนาม) ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างแย่งกันเป็นผู้สนับสนุนเจ้านายเขมรเพื่อช่วงชิงอิทธิพล
ในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาใกล้ล่มสลาย เขมรเคยเป็นรัฐบรรณาการของสยาม แต่เมื่อสยามอ่อนแอลง เขมรก็หันไปพึ่งญวนแทน จนเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชและฟื้นฟูอำนาจของสยาม พระองค์จึงทรงส่งกองทัพเข้ากัมพูชาอีกครั้ง และตั้งเจ้านายเขมรที่พึ่งพาสยามขึ้นเป็นกษัตริย์
เหตุการณ์ในครั้งนั้น นำไปสู่การกวาดต้อนชาวเขมรจำนวนหลายหมื่นคนมายังกรุงเทพฯ เพื่อเป็นกำลังในการฟื้นฟูบ้านเมือง โดยเฉพาะงานก่อสร้างต่าง ๆ ในพระนคร เช่น คูเมือง กำแพงวัง หรือพระราชวังต่าง ๆ
กลุ่มชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนในสมัยนั้น ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ที่ต่อมารู้จักกันในนาม “ชุมชนบ้านบาตร” ใกล้ถนนวรจักร ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการทำบาตรพระมายาวนาน โดยมีบันทึกว่า พวกเขานำภูมิปัญญาการทำบาตรติดตัวมาด้วยตั้งแต่ยังอยู่ในกัมพูชา
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีชาวเขมรคริสต์อีกกลุ่มหนึ่งราว 500 คน ที่ถูกกวาดต้อนมาในช่วงเดียวกัน และโปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งถิ่นฐานที่ทุ่งสามเสน โดยอยู่ร่วมกับชาวคริสต์โปรตุเกสที่อพยพจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตก
ชาวเขมรกลุ่มนี้ นำรูปพระแม่มารีติดตัวมาด้วย และประดิษฐานไว้ ณ วัดคอนเซ็ปชัญ หรือวัดเขมร ซึ่งปัจจุบันยังคงตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านสามเสน เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของความผสมกลมกลืนของผู้คนต่างเชื้อชาติและศาสนาในแผ่นดินนี้
แม้แต่ในจังหวัดราชบุรี ก็ยังมีหลักฐานของชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยธนบุรี โดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษาเขมรสำเนียงลาว และมีความรู้เรื่องการเลี้ยงช้างเพื่อใช้ในราชการสงคราม กลุ่มเหล่านี้ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบโพธาราม เมืองราชบุรี บางแพ และวัดเพลง
เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่า “คน” คือทรัพยากรที่มีค่ายิ่งในยุคสมัยนั้น ราชสำนักไทยในอดีตมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล กล้ารับผู้คนจากหลากเชื้อชาติ หลากภาษา เข้ามาอยู่ร่วมกัน จัดสรรที่ดินให้ทำมาหากิน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนต่างก็หลอมรวมกลมกลืนอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกัน
ประเทศไทยของเราแทบไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์อย่างรุนแรง นั่นเป็นเพราะเราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน โดยยอมรับความแตกต่างอย่างไม่กีดกัน
วันนี้...ในยุคที่คำว่า “ชาตินิยม” กลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่ม เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน สร้างความเกลียดชัง ปลุกปั่นความกลัว ดิฉันเห็นว่า ควรย้อนไปดูบทเรียนในอดีตว่า แผ่นดินนี้เคยเปิดแขนรับ “คนต่างถิ่น” มากมายขนาดไหน และนั่นเองคือรากฐานที่มั่นคงของ “รัฐชาติ” ไทยทุกวันนี้
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
กัมพูชา ส่งจดหมายถึงทั่วโลก ลั่นไม่ได้อ่อนแอ แต่ถูกไทยบีบให้จนมุม
เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคต
มิตรภาพใต้สมุทร เมื่อ "วาฬเพชฌฆาต" จับมือ "โลมา" ร่วมทีมล่าล่าเหยื่อ
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
สถิติหวย ย้อนหลัง 10 ปี เลขท้าย 2 ตัว งวด 30 ธันวาคม
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
บุกจับแล้ว 4 เมียนมา ยึดโดรน 10 ลำมูลค่า 7.5 ล้าน บินป่วนสุวรรณภูมิ
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
"ลาบเหนียว"เมนูสีสันคนอีสานรวมกลุ่มกันอร่อยสุขสันต์ได้ทุกที
โรงพักจำปาลาว เดอะวิลล่า ที่พักที่เรานั้นจองสำหรับการพักผ่อนในคืนแรก (วังเวียง)
พืชอาหารที่กินได้ ปลูกตามใจจนกลายเป็นสวนใหญ่ (วังเวียงประเทศลาว)
ความเรียบง่ายที่หรูหรา (วังเวียง ลาว) ด้านในอลังการมากกว่าการมองในส่วนของภายนอก