อาสาฬหบูชา ทำใจให้เป็นสุข เท่านี้ก็สุขใจ
บุญคือสิ่งที่ดีงามทุกอย่างจะสร้างสรรค์ออกมาทางใบหน้า รอยยิ้มส่งให้ในทุกคราคือบุญหนาส่งพลังบวกให้เพื่อนร่วมโลก
การเดินทางของความสุข
แน่นอนว่าจะต้องพบเจอกับความทุกข์บ้าง
แต่นะยะเวลาจะทำให้สิ่งเหล่านี้เจือจาง
เปลี่ยนเส้นทางคิดบวกเพิ่มใจเติมสุข
ครั้งนี้จะมาเล่าวิธีการที่ทำให้ใจของเรานั้นมีความสุข ความสุขที่ว่านั้นไม่ยากมันเริ่มมาจากใจภายในของเรา ในวันหนึ่งนั้นเราพยายามที่จะดิ้นรนและต่อสู้อยู่เสมอ ไม่มีใครบอกว่าเราไม่เอาแล้วไม่อยากมีชีวิตแล้ว นอกเสียจากคนที่ป่วย เพราะว่าทุกคนนั้นรักตัวเองมากกว่าสิ่งใด การที่จะทำให้คนรอบข้างเรานั้นมีความสุขคือ เราเองนั้นต้องมีความสุขก่อน
ชีวิตนั้นเปรียบได้กับแสงเทียนที่เมื่อเริ่มจุด เริ่มใช้ชีวิตสิ่งที่อยู่รอบเทียนนั้นคือความร้อน ความร้อนสามารถที่จะทำลายเทียนให้หายไป ในใจของเราเองก็เช่นกัน หากว่าใจร้อนย่อมที่จะทำร้ายตัวของตัวเอง
สิ่งที่จะทำให้เรานั้นสงบคือ บทสวด ถามว่าบทสวดนั้นมีทำไม หากว่าในทางของศาสนาคือ การสวดมนต์นั้นคือการกำหนดให้จิตใจของคนเรานั้นจดจ่ออยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะว่าจิตของคนเรานั้นชั่ววินาทีมีการเกิดดับของความคิดมากกว่าร้อยพันความคิด จิตของคนเรานั้นเร็วยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีอะไรเร็วกว่าจิตของคนเรา หากว่าห้ามจิตให้หยุดคิดได้ นั่นคือห้ามเวลาให้หยุด ยากมากจึงต้องมีบทสวดเพื่อช่วยในการทำให้จิตใจนิ่ง
ดอกไม้ตัวแทนของตัวเรา ดอกไม้หมายถึงเราเองที่มอบในสิ่งที่สวยงามเพื่อถวายให้ เวลาที่เรานั้นมองดอกไม้ ดอกไม้มีความงามมีความสดใส สีของมันไม่ได้มีการปรุงแต่ง แต่เมื่อเวลานั้นผ่านไปดอกไม้ที่สวยนั้นเมื่อถูกจับทำให้เหี่ยวและเสียหายไป หมดไร้ค่าเหมือนชีวิตอีกเช่นกัน เมื่อเราใช้งานไปย่อมร่วงโรยเหมือนกันกับดอกไม้
ความสุขอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่จบสิ้น หากว่าเรานั้นไม่อยากที่จะมีความทุกข์ อะไรที่พอที่จะปล่อยวางได้นั้นก็จงปล่อยไปตามกาลเวลา ไม่ต้องไปบังคับในสิ่งที่ไม่สามารถที่จะบังคับได้
จงจำไว้ว่าชีวิตเรานั้นไม่ได้มีให้อยู่นานเป็นร้อยๆ ปี หากว่าเราน้ันอยากทำอะไร ทำแล้วมีความสุขให้รีบทำ เพราะว่าเรานั้นไม่รู้ว่าโลกใบนี้จะใจดีกับเราขนาดไหน บางทีอาจจะพาร่างของเราจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ใช่ของเรา เราแค่เพียงมาอาศัยอยู่ก็เท่านั้น
ใจที่สวยงามย่อมสื่อสารออกมาทางใบหน้าและดวงตา เราเองเคยยิ้มในวัยเด็กอย่างไร รอยยิ้มเหล่านั้นมันหายไปไหนเมื่อตอนที่เราโตขึ้น แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปเด็กในวันนั้นที่มีความสุข เวลาการเติบโตทำให้เขานั้นมีอะไรที่คิดเพิ่มมากขึ้นจนทำให้ไม่ต้องการแล้วที่จะกลับไปยิ้มเหมือนเดิมไม่มีเวลา ต้องวิ่งตามสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยมีอะไร
ความสุขเกิดขึ้นจากใจของเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะวันไหนเราจะต้องรักและศรัทธาในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเองแต่ต้องฟังคำเตือนของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เราก็เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนคนหนึ่ง แต่ไม่เชื่อง




















