คำพูดต้องห้าม สัปเหร่อปากไวเจอดีกลางดึก
ความเคารพต่อผู้ล่วงลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด การแสดงความเคารพต่อผู้ที่จากไปแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ แต่บางครั้งด้วยความประมาทหรือความไม่ยั้งคิด ก็อาจนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนได้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของสัปเหร่อชาวมาเลเซียรายนี้ ที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเพราะคำพูดที่ไม่เหมาะสมของเขาเอง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ราฮิม ชายวัย 35 ปี สัปเหร่อผู้มีอารมณ์ขันแต่ก็เป็นคนปากไว ได้รับมอบหมายให้ขับรถขนส่งศพชายคนหนึ่งจากโรงพยาบาลกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อประกอบพิธี แม้ศพจะผ่านการฉีดรักษาสภาพและอยู่ในถุงบรรจุอย่างดี แต่กลิ่นสาบศพที่โชยมาในรถยังคงรุนแรงจนราฮิมต้องลดกระจกลงเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ ด้วยความหงุดหงิด เขาบ่นออกมาว่า "ทำไมเหม็นขนาดนี้? ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้อาบน้ำหรือไง?"
เพื่อนร่วมงานที่นั่งมาด้วยกันรีบเตือนสติเขาว่าอย่าพูดจาแบบนั้น เพราะอาจนำภัยมาสู่ตนเองได้ แต่ราฮิมกลับไม่แยแส ตอบกลับไปอย่างขบขันว่า "คนตายไปแล้ว จะได้ยินอะไรได้ไง?" หลังจากส่งศพถึงที่หมาย ราฮิมก็เหน็ดเหนื่อยมากจนกลับถึงบ้านก็ล้มตัวลงนอนโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกายเลย
แต่แล้วในเวลาประมาณตี 4 เขาก็ต้องสะดุ้งตื่นจากเสียงแปลกๆ คล้ายมีอะไรบางอย่างกระเด้งอยู่บนพื้นไม้ ไม่นานกลิ่นสาบศพที่เขาได้กลิ่นในตอนกลางวันก็โชยมาอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นตรงมุมห้องคือ วัตถุบางอย่างที่ถูกห่อด้วยผ้าขาว กำลังกระเด้งไปมาไม่หยุดหย่อน ความหวาดกลัวเข้าครอบงำ ราฮิมรีบมุดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม สวดมนต์และภาวนาไม่หยุดจนกระทั่งฟ้าสว่าง
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ราฮิมพบว่าตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเสื้อผ้าของเขาก็เปรอะเปื้อนคล้ายโคลน แม้จะไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ประสบการณ์ในคืนนั้นก็ทำให้เขาไม่กล้าพูดจาดูหมิ่นผู้เสียชีวิตอีกเลย
ปัจจุบัน ราฮิมยังคงทำอาชีพสัปเหร่อต่อไป แต่ทุกครั้งที่เขาขับรถโดยลำพัง แม้จะไม่มีศพอยู่ในรถ เขาก็ยังคงได้กลิ่นสาบศพลอยมา เขาตระหนักดีว่านี่คือผลจากคำพูดที่ไม่ยั้งคิดของตัวเอง และได้แต่ภาวนาขอให้ดวงวิญญาณของผู้ที่เขาได้ล่วงเกินไปนั้นโปรดยกโทษให้ในความประมาทและไร้เดียงสาของเขา






















