ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นพยานสำคัญต่ออาชญากรรมของเขมรแดง และข้อเท็จจริงที่กำลังถูกลบเลือน
ภาพถ่ายขาวดำของหญิงสาวรายหนึ่งที่อุ้มเด็กชายตัวน้อยวัยเพียง 5 เดือนไว้อย่างแนบอก เป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญที่บันทึกไว้ในเรือนจำ S-21 หรือ "ตวลสเลง" ซึ่งเคยเป็นสถานที่คุมขัง ทรมาน และสังหารประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากในช่วงระบอบเขมรแดงครองอำนาจ
หญิงในภาพมีชื่อว่า นางจัน กึม ซรุน ซา (Chan Kim Srun Sa) และเด็กทารกในอ้อมแขนคือบุตรชายของเธอเอง ทั้งคู่ถูกจับกุมในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1978 โดยถูกกล่าวหาว่าเป็น “สายลับของศัตรู” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาทั่วไปที่ถูกใช้เพื่อกวาดล้างพลเรือนโดยปราศจากหลักฐานหรือกระบวนการยุติธรรม
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งมารดาและบุตรชายได้ถูกประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยม โดยไม่มีแม้แต่การไต่สวนหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ภาพถ่ายเหล่านี้ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในยุคนั้น กลับมีความพยายามที่จะ ลบหรือบิดเบือนบทบาทของบุคคลบางรายที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบอบเขมรแดง อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการระดับสูงในยุคเขมรแดง ก่อนจะลี้ภัยไปเวียดนาม แล้วหวนกลับมาพร้อมกองกำลังเวียดนามเพื่อโค่นล้มพอล พต และยึดอำนาจจนดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมาอย่างยาวนานเกือบ 40 ปี
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาได้ออกกฎหมายที่มีจุดประสงค์เพื่อห้ามการ “ปฏิเสธอาชญากรรมของเขมรแดง” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการคุ้มครองเหยื่อและป้องกันการบิดเบือนประวัติศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง กฎหมายฉบับนี้ กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการปิดปากผู้ที่พยายามพูดถึงบทบาทของผู้นำบางคนในอดีต
สิ่งที่น่ากังวลคือ
การพูดถึงหรือวิพากษ์บทบาทของฮุน เซนในยุคเขมรแดงอาจนำไปสู่การถูกกล่าวหาว่า “บิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์”
ไม่มีการรื้อฟื้นหรือตรวจสอบบทบาทของผู้ที่เคยร่วมอยู่ในกลไกการปราบปรามประชาชน
กฎหมายถูกใช้เพื่อสร้าง “ภาพลักษณ์ใหม่” ให้กับอดีตผู้นำ โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนตั้งคำถามหรือตรวจสอบความจริง
การห้ามตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์ หรือการเลือกพูดถึงเฉพาะบางช่วงเวลา โดยไม่เปิดเผยอีกด้านของความจริง ย่อมไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่แท้จริง และไม่สามารถเยียวยาผู้สูญเสียได้อย่างแท้จริงเช่นกัน
ในขณะที่ประวัติศาสตร์ควรเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกด้วยข้อเท็จจริงและการถอดบทเรียนจากอดีต การลบหรือเขียนซ้ำประวัติศาสตร์เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อาจนำไปสู่การหลงลืมบทเรียนสำคัญที่ประชาคมโลกพยายามรักษาไว้
"ประวัติศาสตร์ที่ห้ามตั้งคำถาม คือประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะ"
เราจึงควรตั้งคำถามอย่างมีเหตุผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่ปล่อยให้ “ผู้มีมือเปื้อนเลือดในอดีต” กลายเป็น “เหยื่อ” ในหน้าประวัติศาสตร์ที่บิดเบือน





















