ย้อนอดีต “เทพบุตรหน้าหยก” ศิริมงคล สิงห์วังชา: จากแชมป์โลกสู่ชีวิตพลิกผัน
หากพูดถึงนักมวยไทยที่ทั้งหล่อ คม และฝีมือเฉียบขาด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “โอ๋ ศิริมงคล สิงห์มนัสศักดิ์” หรือที่แฟนมวยคุ้นกันในชื่อ “ศิริมงคล สิงห์วังชา” เจ้าของฉายา “เทพบุตรหน้าหยก” ผู้เคยผงาดคว้าแชมป์โลกมาแล้วถึง 2 รุ่น และกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ทั้งรุ่งเรืองและเจ็บปวดของวงการมวยไทย
จากเด็กที่ไม่ชอบมวย... สู่แชมป์โลกวัย 19
ศิริมงคล เอี่ยมท้วม หรือ "โอ๋" เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2520 ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เป็นลูกชายคนกลางในครอบครัวที่มีสายเลือดนักมวยโดยตรง พ่อคือ “มานพ เอี่ยมท้วม” เจ้าของค่ายมวยสิงห์มนัสศักดิ์ ส่วนพี่ชายก็เป็นถึงอดีตแชมป์มวยไทยเวทีช่อง 7
แต่จุดเริ่มต้นของเขากลับไม่ใช่ในสังเวียนมวย หากเป็นเวทีลิเก! เพราะเจ้าตัวเคยติดแม่ไปดูลิเกบ่อยๆ จนอินกับการร้องรำทำเพลงมากกว่าการชกต่อย ทว่าด้วยสายเลือดนักมวยเต็มตัว สุดท้ายศิริมงคลก็ถูกผลักเข้าสังเวียน โดยเริ่มจากงานวัดในท้องถิ่น ค่าตัวแรกเพียง 100 บาท ก่อนจะไต่เต้าสู่ระดับประเทศ
ในปี 2537 เขาก้าวเข้าสู่วงการมวยสากลอาชีพ และชนะรวดจนนั่งแท่นแชมป์โลกของ WBU รุ่นซูเปอร์ฟลายเวทและแบนตัมเวท จากนั้นขยับไปสู่เวทีใหญ่อย่าง WBC และสร้างประวัติศาสตร์ในวัยเพียง 19 ปี ด้วยการเอาชนะ โฆเซ ลุยส์ บูเอโน คว้าแชมป์โลกเฉพาะกาล ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นแชมป์โลกเต็มตัวในปีถัดมา
จากแชมป์โลกสู่แสงแฟลช... และความพังทลาย
หลังจากป้องกันแชมป์ WBC ได้ถึง 3 ครั้ง เขาเริ่มพบอุปสรรคเรื่องน้ำหนักตัว และแพ้ให้กับ โจอิจิโร ทัตสึโยชิ ที่ญี่ปุ่นอย่างบอบช้ำ ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เขาตัดสินใจเลื่อนรุ่นไปชกรุ่นที่ใหญ่ขึ้น
แม้จะได้แชมป์โลกอีกครั้งในรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวท แต่เส้นทางหลังจากนั้นกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อชื่อของ “เทพบุตรหน้าหยก” กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งในปี 2548 — ไม่ใช่เพราะชัยชนะในสังเวียน แต่เป็นเรื่อง “อัลบั้มนู้ด” ที่ถูกตำรวจตรวจพบระหว่างทลายแหล่งขายสื่อลามกกลางจตุจักร
เขายอมรับแบบตรงไปตรงมาว่ารับงานนี้เพราะค่าตัวดี และในตอนนั้นกำลังคิดจะแขวนนวม จึงหันเข้าสู่วงการบันเทิง ถ่ายแบบ เล่นละครช่อง 7 และแสดงเอ็มวีของวงโมทีฟคู่กับ ดอม เหตระกูล พร้อมกับออกหนังสือเล่าประสบการณ์ชีวิตสุดโต่ง
ชีวิตติดคุก – ชกเพื่อไถ่บาป
แม้เคยหลุดจากวงการไปบ้าง แต่เขาก็ยังหวนคืนสังเวียนด้วยความหวังใหม่ ทั้งชก K-1 ที่เกาหลีใต้ และกลับมาเป็นแชมป์ WBC เอเชียอีกครั้ง แต่แล้วในปี 2552 โลกของเขาก็พังครืน เมื่อถูกจับกุมคดีพัวพันยาไอซ์ที่พัทยา แม้เขายืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่การอยู่ในกลุ่มเพื่อนผิดๆ ทำให้หลุดเข้าสู่วังวนอันตรายโดยไม่รู้ตัว
ในเรือนจำ ศิริมงคลกลายเป็นครูมวย ถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ต้องขังคนอื่น และเป็นนักโทษที่ประพฤติดี จนได้รับการลดโทษและปล่อยตัวในปี 2556 จากนั้นยังกลับมาชกอีกครั้ง และได้แชมป์ WBO เอเชียรุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวท พร้อมกับเป็นเทรนเนอร์ให้แก่นักมวยรุ่นน้อง
ตำนานที่ยังไม่จาง
แม้การชกชิงแชมป์โลกกับ แอนเดรียส อันดราเด ในปี 2558 จะถูกยกเลิก และไฟต์สุดท้ายในปี 2564 จะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แต่นั่นก็ไม่ลบเลือนสิ่งที่เขาได้สร้างไว้ในประวัติศาสตร์มวยไทย
เขาชกมวยอาชีพถึง 100 ไฟต์ และยังเป็นแรงบันดาลใจของใครอีกหลายคน ที่แม้จะเคยพลาดพลั้ง แต่ก็ลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ
เบื้องหลังฉายา “เทพบุตรหน้าหยก”
ไม่ใช่แค่ฝีมือบนเวทีเท่านั้นที่ทำให้เขาโดดเด่น แต่หน้าตาหล่อเหลาราวกับดาราก็ทำให้แฟนมวยยกตำแหน่ง “เทพบุตรหน้าหยก” ให้กับเขาอย่างไร้ข้อกังขา โดยศิริมงคลยังเลือกฉายานี้ด้วยตัวเอง — เป็นชื่อที่สะท้อนทั้งความหล่อและความใจนักสู้ในคนๆ เดียว
จากเด็กที่ไม่ชอบมวย สู่แชมป์โลกผู้มีชีวิตสุดพลิกผัน ศิริมงคล สิงห์วังชา ไม่ใช่แค่นักมวยธรรมดา แต่คือ “ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร” ที่บอกเล่าได้ทั้งความฝัน ความรุ่งเรือง ความพลาดพลั้ง และการกลับมายืนหยัดอีกครั้งอย่างงดงามในแบบของเขาเอง.



















