เขมรชอบเคลม วัฒนธรรมไทย จริงหรือ?
เขมรชอบเคลม วัฒนธรรมไทย จริงหรือ?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระแส “เขมรชอบเคลม” ได้กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเวลาที่ประเทศกัมพูชามีการเสนอวัฒนธรรมต่าง ๆ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็นโขน รำต่าง ๆ หรืออาหารบางอย่างที่ดูคล้ายกับของไทย จนทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่พอใจ และมองว่า “เขมรแอบอ้างวัฒนธรรมไทย” แต่ความจริงเรื่องนี้มีที่มาที่ไปยาวนาน และอาจไม่สามารถมองได้ด้วยมุมเดียวเท่านั้น
รากวัฒนธรรมร่วมในแผ่นดินสุวรรณภูมิ
ไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์พัวพันกันมายาวนานหลายร้อยปี พื้นที่ของประเทศไทยปัจจุบันในอดีตเคยอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรขอมโบราณ (เขมร) เช่นเดียวกับหลายพื้นที่ในอีสานตอนล่าง เช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ที่ยังมีปราสาทหินแบบขอมหลงเหลือให้เห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขมรเคยมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมในพื้นที่นี้
ในทางกลับกัน ตั้งแต่สมัยอยุธยา ไทยก็มีอิทธิพลเหนือกัมพูชาในหลายยุคเช่นกัน บางช่วงราชสำนักกัมพูชาเคยต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้กรุงศรีอยุธยา และมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมไทย เช่น การรำ การแต่งกาย และวรรณกรรม ไปยังเขมร
วัฒนธรรมที่เคลื่อนที่ ไม่ได้เป็นของใครคนเดียว
สิ่งที่เราคิดว่า “ไทย” หรือ “เขมร” ในปัจจุบัน แท้จริงแล้วในอดีตอาจเคยปะปนกัน เป็นมรดกของภูมิภาค ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น
โขน: ไทยขึ้นทะเบียน "โขน" กับยูเนสโกในปี 2561 ขณะที่กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียน “ลักขณาโขล” ซึ่งเป็นโขนเขมรไปตั้งแต่ปี 2551 แล้ว
นวดแผนไทย: ไทยขึ้นทะเบียน “นวดไทย” เป็นมรดกโลกในปี 2562 ขณะที่กัมพูชาก็มีศาสตร์นวดที่คล้ายกัน และมีความพยายามจะขึ้นทะเบียนเช่นกัน
อาหาร: เช่น อม็อก (คล้ายห่อหมก) หรือ ขนมต่าง ๆ ที่คล้ายกับไทย
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การ "แอบอ้าง" เสมอไป แต่เป็นการสะท้อนว่า วัฒนธรรมในภูมิภาคนี้เคยเดินทาง ข้ามพรมแดน แลกเปลี่ยนผสมผสานกันมานาน
ทำไมคนไทยถึงรู้สึกว่าเขมรเคลม?
ความรู้สึกของคนไทยที่มองว่า “เขมรชอบเคลม” เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
อารมณ์ชาตินิยม: คนไทยบางส่วนรู้สึกว่าของที่ตนภูมิใจถูก "แย่งซีน"
บริบทการเมืองและสื่อ: ความขัดแย้งชายแดน เช่น กรณีเขาพระวิหาร เคยทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นศัตรู
โซเชียลมีเดีย: การตัดตอนบางส่วนมาแชร์โดยไม่มีบริบท เช่น การเอาภาพโขนไทยมาแปะว่า “เขมรเคลม” ทั้งที่อาจเป็นการเข้าใจผิด
ควรมองอย่างไร?
การที่ประเทศเพื่อนบ้านจะขอขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมบางอย่าง ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาขโมยหรือแอบอ้างเสมอไป หากเขามีประวัติศาสตร์ มีหลักฐานว่าเคยใช้และสืบทอดวัฒนธรรมเหล่านั้นจริง ก็มีสิทธิ์เช่นกัน
สิ่งสำคัญคือ ไทยเองก็ควรเร่งอนุรักษ์ สืบสาน และจดทะเบียนสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตนไว้ให้ดี ไม่ใช่รอจนผู้อื่นทำก่อนแล้วค่อยโวยวายทีหลัง
สรุป
“เขมรชอบเคลม” อาจเป็นวลีที่สะท้อนความไม่พอใจของคนไทยบางกลุ่ม แต่หากพิจารณาอย่างรอบด้าน จะพบว่าวัฒนธรรมของไทยและเขมรมีจุดร่วมมากมาย เป็นผลจากการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และอยู่ร่วมกันมาหลายศตวรรษ เราจึงควรเรียนรู้ เข้าใจ และร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมโดยไม่สร้างความเกลียดชัง
อ้างอิงจาก: Wikipidie














