ก่อร่างสร้างครอบครัว
ความรักแท้ จะก่อให้เกิดความผูกพันทะนุถนอม และความเอาใจใส่ สถาบันครอบครัวเกิดขึ้นได้เพราะความรักช่วยก่อร่างสร้างตัว นับเป็นสถาบันที่อ่อนไหว พร้อมกันนั้นก็เป็นสถาบันที่เป็นจุดตั้งต้นของความดีงามในชีวิตของคนเรามากกว่าสถาบันอื่นใดทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่บอกว่าเป็นสถาบันที่อ่อนไหว ก็เพราะว่า ถ้าคนสองคนซึ่งเป็นผู้ก่อร่างสร้างสถาบันครอบครัวนั้นขาดธรรมะ ครอบครัวก็จะพังลงมาในพริบตาและที่บอกว่าเป็นจุดตั้งต้นของความเข้มแข็ง ก็เพราะว่า ถ้าผู้ที่สร้างสถาบันครอบครัวขึ้นมาเป็นคนที่มีธรรมะ
ในสถาบันครอบครัวนั้นอาจจะเป็นสถานที่อุบัติของมหาบุรุษ นักปราชญ์ราชบัณฑิตก็เป็นได้ หรือเป็นคนของโลกอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือ มหาตมะ คานธี ก็ได้ แต่ถ้าในสถาบันครอบครัวนั้นมีปัญหา แน่นอนที่สุด สถาบันครอบครัวจะเป็นที่มาของมหาโจรที่เกิดมาเพื่อล้างผลาญมนุษยชาติก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของคนที่เกิดมาปล้นชาติปล้นแผ่นดินก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของสัตว์นรกในนามของคนคนหนึ่งก็ได้
ดังนั้น สถาบันครอบครัวจึงเป็นทั้งจุดที่ละเอียดอ่อนหรืออ่อนไหว และเป็นทั้งจุดที่เข้มแข็งของมนุษยชาติของเรา ถ้าหากคนซึ่งอยู่ในสถาบันครอบครัวมีปัญหากัน ผู้เขียนขอแนะนําว่า
- ให้ระลึกถึงคุณงามความดีเก่าๆ ซึ่งกว่าที่เราจะคบกัน กว่าจะแต่งงานกัน กว่าจะร่วมสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกันมานั้น เราต่างก็เคยประทับใจในคุณงามความดีของกันและกันมาก่อน ทุกครั้งที่เราโกรธ เราเกลียดกัน นึกถึงคุณงามความดีเก่าๆ ก็จะทำให้จิตใจนั้นอ่อนโยนลง
- ให้คำนึงถึงตัวเองและคู่ครองว่า หากเราทำให้เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ด้วย ฉะนั้น เราไม่ควรทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ เพราะถ้าเราทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ มันก็สะท้อนกลับมาอยู่ดีว่าตัวเราก็ต้องทุกข์ด้วย ถ้าเราเป็นคนที่มีความสุข คนที่อยู่ใกล้เราก็ต้องสุข ตรงกันข้าม ถ้าเราเห็นคนที่อยู่ข้างเราเป็นทุกข์ แสดงว่าเราก็ต้องทุกข์แล้ว
ฉะนั้น ควรบอกตัวเองว่า เราควรเป็นหน่วยความสุขเคลื่อนที่ อย่าเป็นหน่วยความทุกข์เคลื่อนที่ในครอบครัวเลย
- ให้เรียนรู้ที่จะถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า เวลามี
ปัญหาให้ทิ้งพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ บอกตัวเองว่า บางครั้งก็ต้องถอยหลังกันคนละก้าว เหมือนที่พระนางเจ้าวิกตอเรียกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทะเลาะกัน แล้วเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปขังตัวเองอยู่ในห้อง
พระนางเจ้าวิกตอเรียทรงตามไปแล้วเคาะประตู
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถามว่า “ใครเคาะ”
พระนางเจ้าวิคตอเรียก็ทรงบอก “ฉันราชินีแห่งเกาะอังกฤษ"
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดโกรธมากที่ถูกศรีภรรยากดขี่ข่มเหงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ด้วยการเอายศศักดิ์อัครฐานมาข่มสามีซึ่งมีศักดิ์ต่ำกว่า สามชั่วโมงต่อมา พระนางเจ้าวิคตอเรียทรงทนเหงาไม่ได้ จึงไปเคาะประตูใหม่ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถามว่า “ใครเคาะ
พระนางเจ้าวิคตอเรียทรงบอกว่า “ดิฉันเองที่รัก ภรรยาของคุณไงคะ”
พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนหวาน และตอบด้วยศักดิ์ที่เสมอกันอย่างนั้น เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจึงทรงเปิดประตูมาสวมกอดกัน
นี่คือศิลปะแห่งการถอยเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า
นั่นคือ พระนางเจ้าวิกตอเรียยอมทิ้งยศศักดิ์อัครฐาน วางอีโก้ของพระนางลง แล้วมาคุยกับพระสวามีในฐานะคนเสมอกัน เรื่องก็เลยจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
สำหรับคู่สามีภรรยาที่มีปัญหาครอบครัว หลังจากทดลองใช้วิธีต่างๆ แล้วไม่ได้ผล ขอแนะนำให้เรียนรู้ที่จะถอย เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าดู แล้วก็จะเห็นว่า มันคุ้มค่ากับการถอยจริงๆ
บางทีเวลามีปัญหาในสถาบันครอบครัวแล้วแก้ไม่ตกจะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ก็เลยมีการโยนชุดความคิดชุดหนึ่งเข้ามากลางวง แล้วบอกว่า เราคงเกาะกันมาแต่ชาติปางก่อน เป็นผีแห้งกับโลงผุ เป็นคู่เวรคู่กรรม แต่ที่จริงคู่ไหนก็ตามที่เริ่มสรุปอย่างนี้ สะท้อนแล้วว่า คุณยอมจำนนต่อปัญหา ปัญหาทั้งปวงมีไว้ให้แก้ไข แต่คนส่วนใหญ่ชอบแก้เคล็ดและยอมจำนน
ดังนั้น เวลามีปัญหา ให้เราทั้งหลายเปิดใจ เปิดตา เปิดหูให้กว้าง บอกตัวเองว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาให้ดีที่สุด อย่าเพิ่งลงบทสรุปว่า เธอและฉันเป็นคู่เวรคู่กรรม เพราะพระพุทธเจ้าตรัสถึงคู่ของชีวิตคู่ไว้ถึง 7 แบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรคู่กรรมเท่านั้น มีทั้งคู่สร้างคู่สม คู่ชื่นชม-คู่ระกำ คู่ภรรยาแก้ว คู่สามีแก้ว แล้วก็คู่กัลยาณมิตร นี่มันตั้งหลายคู่ ทำไมมาสรุปเสียแล้วว่า คู่ของเราเป็นคู่เวรคู่กรรมในเชิงลบ ทำไมไม่เป็นคู่สร้างคู่สม ทำไมไม่เป็นคู่กัลยาณมิตร ทำไมไม่เป็นคู่อารยชนที่เกิดมาแต่งงานด้วยกันเพื่อเป็นเพื่อน เรียนรู้บนเส้นทางธรรมด้วยกัน พัฒนาชีวิตไปให้ดีที่สุดจนกว่าที่สติปัญญามนุษย์จะวิวัฒนาการไปถึง
เปิดตาและเปิดใจเรียนรู้คู่ชีวิตหลายหลายรูปแบบ
ก่อนจะลงข้อสรุปด้วยการดูถูกตัวเองว่าเราเป็นคู่เวรคู่กรรมให้เรียนรู้ชีวิตคู่ในแบบอื่นๆ ในมิติอื่นๆ ให้ทั่วถึงก่อน ถ้าเราเรียนรู้ให้ทั่วถึงแล้วจะเห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อหาคู่เวรคู่กรรมที่เรามอบให้ตัวเอง เพราะบางทีทางออกมันมีมากกว่าหนึ่งก็ได้
ถ้าเรามีความรัก ควรดูแลคนรักให้ดีที่สุด ทั้งช่วงโปรโมชั่นและหลังโปรโมชั่น ดูแลกันและกันให้ดีที่สุด เพราะพอรักกันดี ๆ ต่อมาหากสูญเสียคนที่รักแล้วร้องไห้บอกว่าตรงนั้นก็ไม่ได้ทำ ตรงนี้ยังไม่ได้ให้ คำดีๆ ก็ไม่เคยพูด เรามักจะบอกว่าเอาไว้ก่อน คนรักกันถ้าอยากทำอะไรดีๆ ให้กัน ถ้ารู้สึกว่าอยากทำก็ทำเลย เพราะว่าเราจะเห็นคุณค่าของคนที่เรารักมากที่สุดเมื่อเขาหลุดลอยจากเราแล้ว
สมดุลแห่งหัวใจ
เมื่อหัวสมองและหัวใจประสานสอดคล้องกัน ชีวิตจะราบรื่นทั้งเรื่องการเรียน การงาน และความรัก หากใครเคยไปเยือนโรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกขพลารามของท่านพุทธทาสภิกขุ ก็จะเห็นว่า ในหนึ่งในโรงมหรสพแห่งนั้นมีภาพปริศนาธรรมมากมาย
ภาพเหล่านั้นซึ่งผู้เขียนประทับใจมากก็คือ ภาพ “หัวสมอง”กับ “หัวใจ” วางอย่างสมดุลอยู่บนตาชั่งสาระสำคัญของปริศนาธรรมที่ว่านี้ก็คือ ในการทำอะไรก็ตามควรจะยึดหลัก “ทางสายกลาง” โดยใช้ “หัวสมอง”ประสานกันอย่างได้สมดุลกับ “หัวใจ” เสมอ
หัวสมอง ก็คือ เหตุผล มโนธรรม และสติสัมปชัญญะ หัวใจ ก็คือ อารมณ์ หรือ ความรู้สึก
หัวสมองและหัวใจ คือส่วนผสมซึ่งขาดไม่ได้ในชีวิตของคนเรา คนที่ดำเนินชีวิตโดยใช้แต่หัวสมองจะกลายเป็นคนที่เก่งอัจฉริยะรอบรู้ แต่จะขาดความอ่อนโยน ขาดจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่ตัว และบางทียิ่งเก่งอาจยิ่งโกง
ส่วนคนที่ใช้แต่หัวใจนำทางก็มักจะกลายเป็นคนที่อยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน โรแมนติก หรืออยู่ในโลกแห่งความคิดฝันอุดมคติมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง และที่สำคัญเขาจะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ โกรธ หลง อย่างง่ายดาย รักง่ายเลิกง่าย ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย รู้สึกอย่างไรก็มักอ่อนไหวไปตามแรงเหวี่ยงของความรู้สึกนั้นอย่างแรง โดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ต่อเมื่อใดก็ตามที่สมองกับหัวใจบรรเลงประสานสอดคล้องกันจนเกิดสมดุลชีวิต ชีวิตจึงจะราบรื่นทั้งโลกของการเรียน การงาน และความรัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใครสักคนหนึ่งตกหลุมรัก หัวสมองมักจะด้านชา แต่หัวใจมักจะคึกคะนองโลดโผนกระชุ่มกระชวยมากเป็นพิเศษ
บางรายปล่อยให้หัวใจนำทางจนเสียผู้เสียคน อกหักจากคนรักครั้งแรก ถึงขนาดทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายคู่รักของตนจนถึงแก่ชีวิตได้ บางคนไม่ทำร้ายตัวเอง แต่ก็ป่วยด้วยโรคทุกข์ซ้ำซากอย่างยาวนาน กว่าจะถอนตัวถอนใจกับความหลังได้ก็กินเวลายาวนาน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มตกหลุมรักใครสักคนควรถามตัวเองว่า หัวสมองกับหัวใจของเราทำงานร่วมกันดีอยู่หรือเปล่า หรือหากจะมองอีกแง่หนึ่ง หัวสมองก็เหมือนกับแจกันซึ่งแข็งกร้าว ส่วนหัวใจก็เหมือนกับดอกไม้ใจอ่อนโยน ทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลเมื่อไร แจกันและดอกไม้ก็ก่อให้เกิดความงามได้อย่างลงตัว ความรักของคนเราก็เช่นเดียวกัน
ถ้าหัวสมอง (แจกัน) ดอกไม้ (อารมณ์) สามัคคีกัน ผสมกลมกลืนกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่รักมากจนงมงาย ไม่มีเหตุผลมากมายจนขาดชีวิตชีวา ชีวิตรักของเรานั้นก็สดชื่น เบิกบาน ราบรื่น ดำเนินไปอย่างสวยสดงดงาม แต่การจะบริหารหัวสมองกับหัวใจ ไม่ใช่ของง่ายเลย ผู้รู้แต่ก่อนท่านจึงมักเตือนคนที่อยู่ในภวังค์รักว่า ความรักมักทำให้คนตาบอด คาลิล ยิบราน มหากวีชาวเลบานอน ผู้มีพุทธิปัญญาเป็นเอกคนหนึ่งของโลก กล่าวเตือนคนที่เริ่มมีความรักเอาไว้อย่างน่ารับฟังว่า
“เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะลิดรอนเธอด้วย แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูงและลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นและอยู่กับดินด้วย”
ความรักจะบริสุทธิ์งดงาม ก็ต่อเมื่อหัวสมองและหัวใจวางอยู่บนตาชั่งอย่างสมดุลเช่นที่กล่าวมานั้น ถ้าเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ความรักซึ่งใครต่อใครมักมองว่าเป็นสิ่งสวยงามก็จะกลายเป็นสิ่งทรามได้ รักมากขนาดไหนก็ทำร้ายได้มากขนาดนั้น เพราะความรัก ความชังเป็นปฏิภาคผกผันซึ่งกันและกัน ขึ้นลงผันแปรโดยเกี่ยวเนื่องกันอย่างยากจะแยกออก เหมือนน้ำขึ้นน้ำลงมีผลโดยตรงกับแรงดึงดูดจากพระจันทร์
ทำไมคนที่รักกันจริงๆ ทำร้ายอีกฝ่ายได้ลงคอ สาเหตุที่คนรักกันนั้นมีมากมายเหลือเกิน บางทีเหตุผลของการฆาตกรรมคนรักอาจไม่ได้มาจากเรื่องความรัก ความหึงหวงก็เป็นได้ แต่อาจมาจากความใคร่ ความหลงผิด หรือการตกเป็นทาสของอารมณ์อย่างชั่ววูบ เช่น การทะเลาะเบาะแว้ง ความเข้าใจผิด ฯลฯ อารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งควรระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีความรักก็คืออารมณ์ “หึงหวง” ซึ่งภาษาพระท่านเรียกว่า “ภวตัณหา” อันได้แก่ ความรู้สึกว่าคนที่เรารักนั้นเป็นสมบัติของเราแต่เพียงผู้เดียว โดยลืมนึกถึงความจริงพื้นฐานไปว่า คนที่เรารักนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าสมบัติซึ่งเป็นวัตถุสิ่งของ
เมื่อเรารักใครสักคน ต้องระลึกอยู่เสมอว่า คนที่เรารักไม่ใช่สมบัติของเราแต่เพียงผู้เดียว เขายังคงเป็นสมบัติของตัวเขาเอง ซึ่งเราต้องเคารพและให้เกียรติ นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องของเขาอีกด้วย เราคิดแต่จะให้เขาซึ่งมีชีวิตจิตใจ ปัญญา อารมณ์ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับคนอื่นสิ่งอื่น มายอมสยบอยู่ในอาณัติของเราเพียงคนเดียวอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยประการทั้งปวง แต่พอทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง ความแตกหักก็จะเกิดขึ้นตรงนี้เอง ความหึงหวงฆ่าคนรัก ฆ่าอนาคตของคนที่กำลังมีความรักมามากต่อมากแล้ว และก็คงจะฆ่าคนอีกมากมายในอนาคต ตราบเท่าที่เขาเหล่านั้นสนใจแต่จะรัก โดยที่ไม่เคยคิดจะเรียนรู้เรื่องความรักอย่างถ่องแท้
ดังนั้น เมื่อมีความรักเกิดขึ้นในหัวใจ ก็ควรจะเปิดตา เปิดใจของตัวเองเอาไว้ให้กว้างเสมอ อย่าจมดิ่งลงไปในหลุมดำของความรักจนลืมพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน อนาคต ภาระหน้าที่ ศีลธรรม และสถานภาพทางสังคมของตัวเอง เมื่อตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ควรหาทางชั่งดูหัวใจและหัวสมองของตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า สองสิ่งนี้ยังสมดุลกันดีอยู่หรือไม่ อย่าริรักทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา แต่จงรักอย่างลืมตาอยู่เสมอ
อ้างอิง : ก้าวไปให้ถึงรักแท้ (LOVE) โดย ว.วชิรเมธี














