ไม่เกรงใจคนใกล้ชิด ขี้เกรงใจคนแปลกหน้า
คนเอาแต่ใจตัว
กับคนมีเมตตามาก
จะเป็นคนคนเดียวกันได้ไหม?
ถ้าเอาแต่ใจตัว
ไม่ค่อยเห็นใจคนใกล้ชิด
อยากได้อะไรต้องได้
แต่กลับเห็นใจคนแปลกหน้า
กลายเป็นขี้เกรงใจ
หรือบางทีอาจถึงขั้น ‘ขี้สงสาร’
ชอบช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก
อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่หลายคนคิด
แท้ที่จริงเป็นชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่ง
ที่เอาแต่ใจตัว แต่ไม่ถึงขั้นเห็นแก่ตัว
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล
แต่ยึดอารมณ์ตนเป็นใหญ่
ฉะนั้น จึงไม่แปลกหากจะ ‘คิดเพี้ยนๆ’ ว่า
‘คนใกล้ชิด’ แปลว่า
ไม่ต้องเกรงใจกัน
อยากได้อะไรก็ขอตรงๆ
ไม่ชอบใจอะไรก็ด่าโต้งๆ
พูดง่ายๆคืออาศัยอารมณ์สนิทสนม
เป็นเครื่องแสดงความต้องการแบบดิบๆ
ไม่อยากเสียเวลากลั่นกรองอะไรมาก
แต่กับคนห่างตัว ต้องกรองความรู้สึก
ไตร่ตรองการแสดงท่าทีให้สังคมเห็น
พอเกิดอารมณ์เกรงใจ หรืออารมณ์สงสาร
ก็อาจรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง
ตัวเดือดร้อนยังไงก็ไม่รบกวนใคร
แต่คนอื่นเดือดร้อนยังไงก็ต้องช่วยให้ได้
จริงๆแล้ว นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเอาตามใจ
หรือจะเรียกว่า ‘เอาแต่ใจ’ แบบกลับขั้วก็ถูก
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ความเอาแต่ใจ
จึงเป็นรากฐานของเมตตาไม่ได้
เพราะความหมายที่แท้จริงของเมตตา
คือมีสุขทางใจอยู่กับตนเอง
ด้วยเหตุที่ไม่ปรารถนาการเบียดเบียนใคร
ไม่ว่าคนใกล้ตัวหรือไกลตัวก็ตาม
รู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม
จะดีมาหรือร้ายมาก็ตาม
เมื่อแยกออกว่า
ขี้เกรงใจ ขี้สงสาร หรือ ‘แกล้งสร้างภาพ’
แตกต่างจากเมตตาอย่างไร
ก็จะสำรวจใจตัวเองได้ชัดขึ้นว่าเป็นแบบไหนกันแน่
ไม่ใช่แค่ช่วยคนมากๆแล้วกลายเป็นปมเขื่อง
อ้างกับตัวเองว่าใจดีมีเมตตาแน่แล้ว
เพราะวันนี้ช่วยเขาด้วยอารมณ์สงสาร
ว้นหน้าพอเขาร้ายมา
ก็อาจเกิดอารมณ์เคียดแค้น อยากทำลายล้าง
เมตตาหายหมด
กลายเป็นคนละคนอย่างน่าแปลกใจไปได้
คิดช่วยเป็น
ต้องคิดอภัยเป็นด้วย
จึงนับเป็นรากฐานของเมตตาที่แท้จริง!






