ความลับของแบรนด์หรู: ทำไมของแพงถึงขายดี มีคนซื้อ
เคยสงสัยกันไหมครับว่า… ทำไมกระเป๋าใบหนึ่งราคาหลักแสนถึงขายดี
ทั้ง ๆ ที่เราใช้กระเป๋าผ้าใบละร้อยยังใส่ของได้เหมือนกัน
แล้วทำไมคนถึงยอมควักเงินเพื่อซื้อเสื้อยืดที่ราคาเท่าค่าแรงขั้นต่ำ?
หรือที่จริงแล้ว “ของแพง” มีอะไรมากกว่าแค่ฟังก์ชัน?
ของแพง...เพราะมันขาย ‘ภาพลักษณ์’ มากกว่า ‘คุณค่าใช้งาน’
หลายคนคิดว่าแบรนด์หรูคือเรื่องของ “คุณภาพ”
แต่นักการตลาดระดับโลกบอกตรงกันว่า
ของแพงที่ขายดี ไม่ได้ขายเพราะมันดีกว่าเสมอไป... แต่มันขาย "สถานะ" และ "ความรู้สึก"
1. ปรากฏการณ์ Veblen Effect: ยิ่งแพง คนยิ่งอยากได้
ในทางจิตวิทยาเศรษฐศาสตร์ มีแนวคิดที่เรียกว่า
Veblen Effect คือการที่ “ราคาสูง” กลับยิ่งเพิ่ม “ความต้องการ”
เช่น เสื้อยืดธรรมดา ๆ หากมีโลโก้แบรนด์หรูอยู่ ก็ทำให้ดู ‘มีระดับ’
ของแพงจึงกลายเป็น “เครื่องแสดงตัวตน” ของคนที่ถือมันอยู่
2. ความหายาก สร้างความอยากได้
แบรนด์หรูหลายเจ้าจงใจผลิตของ “จำนวนน้อย” หรือให้สิทธิ์เฉพาะลูกค้าระดับ VIP เท่านั้น
ยิ่งของมีจำกัด คนก็ยิ่งแย่งกันซื้อ เพราะกลัว “พลาด”
เหมือน Hermes ที่คุณอาจต้องมีประวัติการซื้อก่อน ถึงจะได้ “สิทธิ์” ซื้อกระเป๋ารุ่นดังอย่าง Birkin
3. คนซื้อไม่ได้อยากได้ของ แต่เขาอยากได้ ‘ความรู้สึก’
> หลายคนยอมซื้อกระเป๋าหรู ไม่ใช่เพราะมันใส่ของได้ดี
แต่เพราะเวลาถือแล้ว “รู้สึกมั่นใจ” หรือ “รู้สึกว่าตัวเองมีค่า”
บางคนซื้อเพราะอยากประกาศความสำเร็จให้โลกรู้
บางคนซื้อเพื่อปลอบใจตัวเองหลังจากเหนื่อยหนัก
บางคนซื้อเพื่อเป็นรางวัลหลังจากทำเป้าหมายสำเร็จ
4. การตลาดขั้นเทพ ทำให้เรารู้สึก ‘อยากมี’ ทั้งที่ไม่จำเป็น
แบรนด์หรูไม่เน้นลดราคา ไม่จัดโปร
แต่จะใช้วิธีเล่าเรื่อง, จ้างอินฟลูเอนเซอร์เฉพาะกลุ่ม
และสร้างภาพให้สินค้าเป็น “ของที่คนทั่วไปไม่มี”
ยิ่งหายาก คนยิ่งรู้สึกว่า “ต้องมีไว้ครอบครอง”
แล้วคุณล่ะ... เคยซื้อของแพงเพราะ ‘เหตุผลส่วนตัว’ บ้างไหม?
อาจจะไม่ใช่แบรนด์หรูระดับโลก แต่คุณเคยไหมที่ยอมซื้อของแพงกว่าปกติ
เพราะมันทำให้คุณ “รู้สึกดีกับตัวเอง”?
ลองมาเล่าให้ฟังกันหน่อยครับ...
ของชิ้นไหนที่คุณเคยซื้อแล้วไม่เสียดายเงินเลย เพราะมันให้ "มากกว่าความคุ้มค่า"
ของแพงอาจไม่ได้ดีที่สุดในแง่ฟังก์ชัน
แต่มันดีที่สุดในแง่ “ประสบการณ์” และ “อารมณ์” สำหรับคนบางคน
และนั่นแหละ... คือคำตอบว่า ทำไมของแพงถึงขายดี

















