ศรีเทพ อัญมณีแห่งประวัติศาสตร์ไทยที่โลกต้องจารึก
เมืองโบราณศรีเทพ ได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่จากยูเนสโก หลังจากที่รอคอยมานานกว่า 10 ปี หลายคนอาจสงสัยว่าเมืองศรีเทพแห่งนี้มีความสำคัญอย่างไร และทำไมถึงได้รับการยกย่องระดับโลกเช่นนี้ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของศรีเทพกัน
เมืองโบราณศรีเทพตั้งอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 2,000 ไร่ ประกอบด้วยเมืองในและเมืองนอก ภายในเมืองเต็มไปด้วยโบราณสถานกว่า 50 แห่ง จุดเด่นสำคัญของศรีเทพคือที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างแหล่งอารยธรรมภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ศรีเทพกลายเป็น ชุมทางการเดินทางที่สำคัญ ในสมัยโบราณ ผู้คนจากภูมิภาคต่างๆ ล้วนต้องสัญจรผ่านศรีเทพเพื่อเชื่อมโยงกับดินแดนอื่น ทั้งการลงใต้สู่ทะเลและการขึ้นเหนือสู่ลาวและจีน ด้วยเหตุนี้ ศรีเทพจึงเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายและรับอารยธรรมที่หลากหลายอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ศรีเทพมีผู้คนอาศัยอยู่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 700-800 ปี ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทวารวดี ไปจนถึงสมัยที่รับอารยธรรมขอม และรุ่งเรืองจนกระทั่งกลายเป็นเมืองร้างก่อนหน้าการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยไม่นาน ทำให้ศรีเทพเป็น จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปในประวัติศาสตร์ไทย ก่อนยุคสมัยที่คนไทยเริ่มใช้ภาษาไทย ที่นี่เป็นศูนย์กลางความเชื่อที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ภาคพื้นทวีป และเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางศาสนา ทั้งพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนามหายาน และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
หลังจากกลายเป็นเมืองร้างมานานหลายศตวรรษ ศรีเทพถูกค้นพบอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่ก่อนหน้านั้น ชาวบ้านในพื้นที่มีความเชื่อและความผูกพันกับศรีเทพในฐานะ เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเทวดาสร้างขึ้น และเชื่อว่าหากผู้ใดไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณเมืองโบราณจะเกิดอาเพศ ชาวบ้านจึงนิยมเข้าไปหาของป่าเฉพาะตอนกลางวัน และมีการสร้างศาลเจ้าพ่อศรีเทพเพื่อบูชา นอกจากนี้ ยังมีตำนานเล่าขานถึง "เขาคลังใน" และ "เขาคลังนอก" ที่เชื่อว่าเป็นขุมสมบัติที่มีคนเฝ้า รวมถึงตำนาน "ฤาษีตาไฟ" ที่อธิบายถึงสาเหตุการล่มสลายของเมือง ซึ่งตำนานเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเคารพและความลึกลับของศรีเทพในสายตาของคนท้องถิ่น
การศึกษาทางโบราณคดีเผยให้เห็นถึงชั้นของอารยธรรมที่ทับซ้อนกันในศรีเทพ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการค้าขายกับอารยธรรมอื่น ไปจนถึงยุคทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 ที่ศรีเทพขยายตัวเป็นชุมชนเมือง มีการสร้างคูน้ำคันดิน และเริ่มผสมผสานศาสนาพุทธเถรวาท สถาปัตยกรรมสำคัญในช่วงนี้คือ เขาคลังในและเขาคลังนอก ซึ่งเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปในยุคนั้น ใหญ่โตเสียจนผู้คนเข้าใจว่าเป็นภูเขาจริงในอดีต
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 ศรีเทพรับพุทธศาสนามหายานและศาสนาพราหมณ์เข้ามา ทำให้เกิดการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น ลายปูนปั้นคนแคระแบกและลายประจำยามก้ามปูที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเนื่องจากศรีเทพตั้งอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน ไม่ใช่พื้นที่ชายฝั่งทะเล แสดงให้เห็นว่าศรีเทพเป็น ศูนย์กลางการติดต่อกับหลากหลายอารยธรรม ทั้งจากอินเดียและจีน โดยพบหลักฐานเช่น พระพิมพ์ดินเผาที่มีอักษรปัลลวะและอักษรจีนควบคู่กัน
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 16-17 ศรีเทพได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมเขมร โดยมีการสร้างศาสนสถานแบบพราหมณ์คล้ายกับนครวัด เช่น ปรางค์ฤาษี และมีการนับถือเทพเจ้าหลากหลายองค์ในศาสนาฮินดู ก่อนที่ในพุทธศตวรรษที่ 18 จะมีความพยายามเปลี่ยนกลับมานับถือพุทธศาสนามหายานอีกครั้ง แต่แล้วเมืองศรีเทพก็กลายเป็นเมืองร้างอย่างกะทันหัน โดยไม่มีบันทึกที่ชัดเจนถึงสาเหตุ คาดการณ์กันว่าอาจเกิดจากโรคระบาดหรือความแห้งแล้ง
ศรีเทพจึงไม่ใช่แค่โบราณสถานธรรมดา แต่เป็นมรดกอันล้ำค่าที่บอกเล่าเรื่องราวความรุ่งเรือง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความพยายามในการดำรงชีวิตของผู้คนในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรศึกษาและภาคภูมิใจ















