พระพุทธชินราช ตำนานแห่งศรัทธาและพุทธศิลป์
พระพุทธชินราช ประดิษฐาน ณ วิหารด้านตะวันตกใน วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย แม้ประวัติการสร้างจะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับองค์พระพุทธรูปนี้ก็เปี่ยมด้วยตำนานและความศรัทธา
พงศาวดารเหนือฉบับที่เรียบเรียงขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2350 โดยพระวิเชียรปรีชา กล่าวถึง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก กษัตริย์เชียงแสน ว่าเป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช พร้อมกับพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา ในปี พ.ศ. 2409 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ "ตำนานพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา" โดยอ้างอิงจากพงศาวดารเหนือเช่นกัน แต่ระบุปีหล่อพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาไว้ที่ พ.ศ. 1498 และพระพุทธชินราชที่ พ.ศ. 1500 หย่อน 7 วัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2423 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงแต่งตำนานเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์จักรีกับพระพุทธชินราชเข้าไปด้วย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระดำริที่แตกต่างออกไป โดยทรงพิจารณาจากพุทธศิลป์ที่ผสมผสานระหว่างสุโขทัยกับเชียงแสน และทรงสันนิษฐานว่าพระพุทธรูปทั้งสามน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัย พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ประมาณปี พ.ศ. 1900 โดยให้เหตุผลว่าพระองค์เดียวที่ปรากฏพระเกียรติในเรื่องพระไตรปิฎกคือพระธรรมราชาลิไทย ซึ่งพงศาวดารเหนือเรียกว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ความเห็นนี้ได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อสันนิษฐานอื่น เช่น พิชญา สุมจินดา ที่กำหนดอายุพระพุทธชินราชใหม่จากพุทธลักษณะและซุ้มเรือนแก้ว ว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2232)
เดิมทีพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ไม่มีการลงรักปิดทอง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2146 สมเด็จพระเอกาทศรส โปรดให้มีการลงรักปิดทองเป็นครั้งแรก และมีการลงรักปิดทองอีกสองครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2444) และรัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2547)
ถึงแม้จะเป็นพระพุทธรูปสำคัญ แต่พระพุทธชินราชก็รอดพ้นจากภัยสงครามมาได้หลายครั้ง เช่นใน ศึกอาซหุก ปี พ.ศ. 2318 แม้พม่าจะเผาทำลายพระราชวังและวิหารประธาน แต่พระพุทธชินราชและวิหารที่ประดิษฐานกลับไม่ได้รับความเสียหาย
ในปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระพุทธชินราชไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ด้วยทรงเห็นว่างดงามยิ่งนัก แต่ด้วยทรงเกรงว่าชาวพิษณุโลกจะโศกเศร้า และองค์พระไม่เคยถูกอัญเชิญไปที่ใดมาก่อน จึงมีพระราชดำริให้หล่อ พระพุทธชินราชจำลอง ขึ้นแทนในปี พ.ศ. 2444 และอัญเชิญลงมายังกรุงเทพมหานคร
พระพุทธชินราชมีพุทธลักษณะที่งดงามและโดดเด่น เช่น พระเกตุรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง วงพระพักตร์ค่อนข้างกลม มีพระอุณาโลมพลิ้วอยู่ระหว่างพระขนง วรกายอวบอ้วน มีสังฆาฏิยาว ปลายหยัก และเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ทั้ง 4 ยาวเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช หรือสกุลช่างเมืองพิษณุโลก ถือเป็นหนึ่งใน 4 หมวดของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระพุทธชินราชจึงเป็นมากกว่าพระพุทธรูป แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา พุทธศิลป์ และประวัติศาสตร์อันยาวนานของแผ่นดินไทย







