มิตรกลายเป็นศัตรู เปิดโปงเบื้องหลังความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน
ปฏิบัติการทางทหารที่อิสราเอลใช้กับอิหร่านในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แท้จริงแล้วความขัดแย้งนี้มีรากฐานมายาวนาน และเคยมีแผนจะปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2015 จุดเปลี่ยนสำคัญคืออะไร? และเหตุใดจากมิตรที่เคยแนบแน่น อิสราเอลกับอิหร่านจึงกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตในวันนี้ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเบื้องหลังความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในอดีต มีปัจจัยหลักมาจาก การสนับสนุนของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษในการก่อตั้งประเทศอิสราเอลในปี 1948 เมื่ออิสราเอลก่อตั้งขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องหาพันธมิตรเพื่อคานอำนาจกับกลุ่มประเทศอาหรับที่มองว่าอิสราเอลรุกรานชาวปาเลสไตน์ หลักการ "ศัตรูของศัตรูคือมิตร" จึงถูกนำมาใช้
อิหร่าน ซึ่งเป็นชาวเปอร์เซีย ไม่ได้มองตนเองเป็นชาวอาหรับ และมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับชาวอาหรับมาอย่างยาวนาน แม้จะเป็นมุสลิมเหมือนกัน แต่อิหร่านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมนิกาย ชีอะห์ ขณะที่กลุ่มประเทศอาหรับส่วนใหญ่เป็น ซุนนี ซึ่งสองนิกายนี้มีความไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่ต้น
ในช่วง สงครามเย็น ทั้งอิสราเอลและอิหร่านต่างก็ไม่พอใจการแผ่อิทธิพลคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต จึงร่วมมือกันเพื่อคานอำนาจ โดยมี สหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นพันธมิตรสำคัญ สหรัฐฯ มองว่าอิหร่านมีชัยภูมิที่สำคัญในการเป็นด่านหน้าป้องกันคอมมิวนิสต์ไหลเข้าสู่ตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ยังมี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากน้ำมัน สหรัฐฯ ต้องการควบคุมแหล่งพลังงานสำคัญนี้ จึงทำข้อตกลงกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ให้ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการซื้อขายน้ำมัน เพื่อรักษามูลค่าเงินดอลลาร์ของตนเอง สหรัฐฯ ได้ให้ผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการทหารและอาวุธล้ำสมัยแก่ราชวงศ์ปาห์ลาวีของอิหร่าน รวมถึงการออก "เช็คเปล่า" (The Blank Check) ที่ทำให้อิหร่านสามารถสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ได้แทบทุกชนิด ส่งผลให้อิหร่านกลายเป็นประเทศที่สั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มากที่สุดในโลกช่วงทศวรรษ 1970
ที่สำคัญที่สุดคือ โครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ ทั้งสหรัฐฯ อิสราเอล และอิหร่าน ร่วมกันจัดตั้งทีมวิจัยและโรงงานปั่นยูเรเนียมในอิหร่าน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ในด้านสันติ เนื่องจากอิหร่านเล็งเห็นว่าน้ำมันมีวันหมดไป
มิตรภาพอันยาวนานต้องพังทลายลงเมื่อเกิด การปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ประชาชนชาวอิหร่านไม่พอใจการปกครองของพระเจ้าชาปาห์ลาวีที่ผูกมิตรกับชาติตะวันตก และใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ผู้นำศาสนา อยาตอลเลาะห์ รูฮอลเลาะห์ โคไมนี ได้ปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือโค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวี พระเจ้าชาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
หลังการปฏิวัติ ผู้นำคนใหม่ของอิหร่านไม่ได้ต้องการแค่โค่นล้มราชวงศ์ แต่ยัง ขับไล่อิทธิพลของสหรัฐฯ และอิสราเอล ออกจากประเทศอย่างสิ้นเชิง อิหร่านมองว่าอิสราเอลเป็น "มะเร็งเนื้อร้าย" หรือ "ซาตานตัวน้อย" ที่มีสหรัฐฯ เป็น "ซาตานตัวใหญ่" อิหร่านบุกสถานทูตสหรัฐฯ จับตัวประกันนานกว่าหนึ่งปี ทำให้สหรัฐฯ คว่ำบาตรอิหร่านอย่างหนัก และอิหร่านหันไปสนับสนุนกลุ่มปาเลสไตน์และกลุ่มอาหรับที่เป็นศัตรูของอิสราเอลอย่างเต็มที่ โดยไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล และเรียกอิสราเอลว่า "พวกไซออนิสต์" ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนยิวหัวรุนแรงที่ต้องการยึดครองดินแดนผู้อื่น
อิสราเอลมองว่าอิหร่านหลังการปฏิวัติอิสลามคือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ สิ่งที่อิสราเอลหวาดกลัวที่สุดคือ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่เคยร่วมมือกันพัฒนาเพื่อสันติภาพ บัดนี้กลับถูกมองว่าอาจถูกนำไปพัฒนาเป็นอาวุธได้
การถูกสหรัฐฯ หักหลังในอดีต (เช่น การบิดพลิ้วคำสัญญาเรื่องการผ่อนปรนการคว่ำบาตรหลังอิหร่านช่วยสหรัฐฯ ในปฏิบัติการตามล่าโอซามา บิน ลาเดน) ทำให้อิหร่านตระหนักว่าการขาดอำนาจทางทหาร โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้พวกเขาถูกต่างชาติเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย จึงหันกลับมาจริงจังกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์อย่างเต็มที่ นี่คือจุดที่ทำให้อิสราเอลยิ่งหวาดระแวง และเคยมีแผนจะบุกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านหลายครั้ง รวมถึงในปี 2015 ซึ่งแผนดังกล่าวเกือบจะเกิดขึ้นจริง
เรื่องราวของอิสราเอลและอิหร่านจึงเป็นบทเรียนอันซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามผลประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และศาสนา จากมิตรผู้ร่วมสร้าง สู่ศัตรูคู่อาฆาตที่พร้อมจะปะทะกันได้ทุกเมื่อ ความขัดแย้งนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร? และโลกจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนจากสองชาติคู่นี้ไปอีกนานแค่ไหน?














