หลั่งน้ำตาทุกครั้งที่มาที่ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา
น้ำตาบางครั้งไม่เคยฟังคำสั่งของเรา การมาที่นี่ในทุกครั้งไม่เคยท่องบทสวดแปลสังฆคุณได้จบ
โดยที่ไม่หลั่งน้ำตา
ความรู้สึกในตอนที่มาครั้งแรกจนครั้งที่สี่ ทุกครั้งที่มานั้นเราก็มาเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนคณะที่เรานั้นมาด้วย ครั้งแรกอาจจะแปลกตาแต่ครั้งต่อมาเริ่มรู้ และครั้งนี้หากว่าเรานึกถึงสามารถที่จะมองแล้วรู้ว่าทางเข้าตรงไหนเดินมาอย่างไร และตรงไหนคือสถานที่อะไรบ้างเพราะว่าเราเดินมาครบแล้ว
แต่ทุกครั้งที่เข้าไปด้านในเห็นภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น นั่งลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วเอ่ยวาจาในการสวดมนต์
องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิตสุททสันดาน ตัดมูลกเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคีบ่พันพัว บทนี้ไม่เคยท่องได้จบต้องหยุดเพราะว่าน้ำตานั้นทำให้ร้องไม่ได้ เคยพยายามที่จะห้ามแต่ทำไม่ได้ต้องนั่งหลับตาฟัง
เหมือนว่าบทสวดนั้นพอเราแปลมันทำให้ความหมายของมันชัดเจนมากขึ้น เราเองเป็นชาวพุทธโดยกำเนิดจริงและโชคดีที่ได้พบกับพระพุทธศาสนาตั้งแต่ยังเด็กได้วิปัสสนา สัมถกรรมฐานตั้งแต่อายุ 12 ปี อย่างเข้มวันหนึ่งเมื่อเราได้มาในสถานที่จริง สิ่งเหล่านี้มันเหมือนฝันทำให้เรานั้นตื้นตันในใจ
หลังจากที่เราเดินออกมาด้านนอก จิตใจที่สงบจึงเดินรอบ
บริเวณด้านนอก ตรงนี้คือสถานที่ในการนั่งของพระสงฆ์ในอดีตซึ่งมีอายุมาหลายร้อยปีแล้ว สถานที่วางสรีระก่อนที่จะถวายพระเพลิงนั้นมีให้เราได้เห็นทั้งหมด เราสามารถที่จะนึกภาพตามได้
ในส่วนของตรงนี้คือสถานที่ที่หากว่าเรานั้นเดินไปด้านหลัง จะมีต้นไม้ที่พระอานนท์นั้นมาเกาะร้องไห้ กับการที่ได้สูญเสียผู้เปรียบเสมือนพ่อที่ไปไหนด้วยกันตลอด ไม่เคยห่างที่มาวันหนึ่งจะต้องจากกัน
ในเวลานั้นเมื่อพระสงฆ์มารวมกันทั้งหมด เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังสั่งลาไม่ว่าจะด้วยเรื่องต่างๆ เพื่อที่จะได้ปรินิพพาน แต่พระอานนท์นั้นปลงใจยังไม่ได้ มีความโศกเศร้าเสียใจมาก พอมีเวลาที่โอกาสว่างนั้นจึงได้หลบมาร้องไห้ยังสถานที่หนึ่ง และร้องไห้ด้วยเสียงอันดังว่า ตนนั้นบังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย พระพุทธเจ้ารู้เลยให้เรียกมาพบ และตรัสบอกสอนพระอานนท์จนพระอานนท์ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
มุมนี้ที่เป็นต้นไม้ที่พระอานนท์หลบมาหลังวิหารเพื่อร้องไห้เพราะว่าความเสียใจ ซึ่งพระสงฆ์ทั้งหลายที่มานั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว
สายตาที่มองไปยังเบื้องหน้า สถานที่แห่งนี้บริเวณโดยรอบนั้นร่มรื่นยังพอมีร่มไม้บ้าง ตอนนี้ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีคนเข้ามาเพราะว่าเพิ่งเปิด
เก็บความทรงจำเก็บความรู้สึกไว้ว่าวันหนึ่งนั้น เราเคยมีโอกาสมาใช้ชีวิตที่นี่ มาที่นี่หนึ่งอาทิตย์ติดต่อกัน ต้นไม้ทุกต้นคือความทรงจำ ชีวิตคนเรานั้นไม่ได้มีเวลาอยู่บนโลกนี้มากเท่าไหร่นักเราอยากที่จะทำอะไร หากว่ามันคือสิ่งที่ดีจงไม่ต้องรอเวลา อะไรที่มันผ่านมาไม่เห็นจะต้องไปสนใจเพราะว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว วันพรุ่งนี้กับต่อจากนี้เท่านั้นที่เราจะตั้งใจในการที่เราจะทำ คนที่มีบุญอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ยังต้องมีระยะเวลาในการปรินิพพาน เราเองเป็นมนุษย์เป็นคน ก็ต้องมีวันพรากจากไป เราจงใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันให้คุ้มค่า













