กลางคืนกับเช้าของอีกวันที่สาลวโนทยาน (ประเทศอินเดีย)
ค่ำคืนแห่งเสียงประสานทำวัตรเย็น รอบสาลวโนทยานที่มากด้วยศรัทธา
ลมหนาวยังพัดอยู่มิครา แต่ใจศรัทธาของคนยั่งยืน
เปลวไฟที่ส่องแสง คือแสงเทียนที่จุดตั้ง
ให้แสงช่วยนำทาง สว่างทั้งจิตและกายตน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนในวันวิสาขบูชา ซึ่งหากในพระพุทธศาสนาคือวันที่มีเหตุการณ์สำคัญสามอย่างเกิดขึ้นในวันเดียวกัน วันนี้เราเดินทางมาที่สาลวโนทยาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักประมาณห้าร้อยเมตรได้ พร้อมไฟเพื่อที่จะมาจุดไฟ จุดเทียนรอบที่นี่และสวดมนต์ด้านใน ทั้งหนาวและหวิวๆ เพราะว่าลมแรงอยู่เหมือนกันด้านนอก แต่เมื่อเรานั้นเข้ามาด้านใน กลับนิ่งเงียบแม้แต่ใบไม้ยังไม่ไหว
เที่ยนนั้นถูกวางไว้บริเวณโดยรอบแล้ว คนมาที่นี่เยอะมากจนทำให้เดินเข้าไปด้านในค่อนข้างยากหน่อยเลยหาที่อยู่บริเวณรอบนอก น่าจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตอีกละ ที่มาตรงกับวันสำคัญทางศาสนา จึงได้เห็นในพิธีกรรมในสถานที่จริง ความศรัทธาของชาวพุทธมากล้นเพราะว่ามาร่วมงานน่าจะมาแบบเหมาลำเครื่องบินสองลำ ส่วนมากจะอยู่ทางเชียงใหม่ ลำพูน เจ้าพ่อเมืองเชียงใหม่ และอีกหลายท่าน
เราเดินจุดรอบเจดีย์ คือสถานที่ในการวางสรีระ หรือวางศพนั่นเอง ซึ่งไม่ไกลคือสถานที่ถวายพระเพลิง จึงยิ่งเงียบอีก เงามืดของคนเดินไปเดินมา เราเองเดินจุดเทียนไปเรื่อยๆ หากว่าดวงไหนดับก็จุดใหม่ แต่ที่นี่ไม่ค่อยมีลม ก่อนการนั่งสวดมนต์ทำวัตรเย็นจะมีเสียงขึ้น
รอบบริเวณนั้นมีท้ังพระสงฆ์ และประชาชนที่สวมชุดขาวมาร่วมพิธี แต่หากจะเข้าข้างในได้เช่นกัน แต่ว่าสามารถเข้าได้ไม่เยอะพื้นที่ไม่กว้างประมาณร้อยคนก็น่าจะแน่น สี่สิบห้าสิบ แต่ด้วยว่าเป็นการนั่งจึงมีการปิดไม่ให้เข้าไป
ในตอนเช้านั้นเราจะมาที่นี่เพราะว่าพระสงฆ์จำนวน 1250 รูปจะเดินทางมาที่นี่เพื่อที่จะมีการร่วมในพิธีตื่นเช้าหน่อยประมาณตีสี่ก่อนด้วงอาทิตย์ขึ้น รุ่นนี้คือลุกแล้วเดินมาได้เลย พร้อมเสมอหนาวพอได้
ตามขบวนมาตอนเช้า ตอนนี้น่าจะตีห้าครึ่งได้ คณะสงฆ์ที่เดินธุดงค์มาในเส้นทาง 1250 กิโล มาถึงที่นี่น่าจะมากกว่านี้นะ ขออนุโมทนาด้วยเลย
เป็นกลางคืนและเช้าวันใหม่ที่นอนไม่เพียงพอ แต่ว่าใบหน้านั้นสดใจหลับเพียงไม่นานแต่ว่ามันคือการหลับที่สนิท ไม่เหนื่อยเพราะว่าเรากำลังสนุกกับงาน ทำงานไปหัวเราะไป กลางคืนนั่งตบยุงแข่งกัน
ตอนนี้เริ่มเห็นแสงของดวงอาทิตย์ คนอินเดียนั้นถือว่าแสงของวันใหม่ในตอนเช้าดีที่สุด เหมือนในการเดินทางเพื่อลงไปล้างบาปที่แม่น้ำคงคานั้นจะลงไปกันตั้งแต่ตีสี่ จะเอาหน้าไปมุดลงในน้ำที่หนาวเย็นมาก เพื่อทำการล้างบาป เมื่อเห็นแสงอาทิตย์จะพากันสาธุและประนมมือ
ความสุขในการมองพระสงฆ์เดินด้วยความสุขุมสำรวม ไม่ใส่รองเท้า เพราะว่าพระสายปฏิบัตินั้นจะไม่สวมรองเท้า ในการเดินธุดงค์มาที่อินเดียก็เช่นกันพระสงฆ์ไม่สวมรองเท้าเดินเท้าเปล่า เท้าแตกมีเลือดก็ติดพลาสเตอร์รักษา เดินให้เห็นสัจธรรมสมัยพุทธกาลก็ไม่มีรองเท้าเช่นกัน
การเห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดสาลวโนทยานพอดี ทุกคนยืนมองด้วยความปิติ ด้านหน้านั้นคือที่เก็บสรีระ หรือศพของพระพุทธองค์ เป็นภาพที่สวยงามมากที่เห็นได้ยากมากในฤดูหนาว
พอดวงอาทิตย์ขึ้นทุกอย่างจะเปลี่ยนทันทีรวมถึงอากาศด้วย จนต้องถอดเสื้อพาดไหล่เลย สวยงามมากยิ้งรับกับแสงตะวันเหมือนกันเรา ออกมาแต่เช้าแล้วก็จะกลับไปที่พักอาบน้ำเตรียมในการลงไปทานอาหาร
หลังจากที่ถ่ายเขาแล้วเราก็ต้องเก็บความทรงจำบ้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตอีกแล้ว มีครั้งหนึ่งเพราะว่าครั้งที่แล้วที่มาสองครั้งนั้นเข้ามาถึงที่นี่แดดน่าจะตรงกลางศรีษะพอดี เที่ยงวัน หรืออีกทีคือบ่ายสาม ต้องรีบด้วยเพราะว่าเขาจะปิด แต่สำหรับที่นี่ตอนที่เรานั้นเดินเข้ามานั้น เขายังไม่เปิดประตูเลย ปลุกเลยจ้า
สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธเรานั้นสามารถที่จะเข้าฟรี บางที่นั้นจะมีการจ่ายเงินเช่นกัน เพื่อใช้จ่ายในการซ่อมหรือหลายๆ อย่าง ด้วยพื้นที่นี้มีขนาดกว้าง เราสามารถที่จะเดินรอบ เดี๋ยวมีโอกาสจะมาลงภาพที่เราเดินไปบริเวณที่มีช่องสำหรับให้พระสงฆ์นั่งในการทำพิธีหรือสถานที่ต่างๆ เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นมีจริงเพราะในประวัตินั้น มีการกล่าวไว้สถานที่จริงเชื่อมโยงกันทั้งหมด
ตอนที่ไปอยู่อินเดียนั้นเดินและเลาะทั้งวันแต่ว่าอาหารการกิน ดูแลดีมากไข่เจียวส้มตำ แกงส้มที่นี่อร่อยไม่แพ้ทานที่ใต้เลยทำให้อุดมสมบูรณ์หน่อย แต่ตอนนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขกับการทำงานมาก งานเดียวไม่กดดันและไม่ต้องสู้รบกับคนด้วย
















