พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา วัดไทยกุสินารา(อินเดีย)
ด้วยพระราชศรัทธาของสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ทรงควบคุมและออกแบบในการสร้าง เพื่อชาวต่างชาติเดินทางมาสักการะและปฏิบัติธรรม
เมื่อมองและชมความงาม จงกรมตามวาระเสนอ บวกหนึ่งจากอายุตน เพื่อระลึกถึงผลการทำคดี
มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเจดีย์ที่งามเด่นในวัดไทยกุาินาราเฉลิมราชย์ศรัทธา ซึ่งเป็นมหาเจดีย์ที่ได้สร้างขึ้นด้วยพระราชศรัทธาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วัดไทยกุสินารา ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้กับสถานที่ปรินิพพาน และยังมีสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า
ทุกครั้งที่คนไทยเดินทางไปที่ประเทศอินเดียแห่งนี้ จะเข้าพักที่วัดไทยแห่งนี้และถือโอกาสในการถวายความเคารพ กราบไหว้บูชาและเวียนเทียน แต่หากว่าใครที่ต้องการที่บำเพ็ญบุญจะต้องเวียนเทียนโดยการภาวนาในเรื่องของ พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ไปเรื่อยๆ จนครบอายุของตน หากว่าต้องการที่จะต่ออายุ จะต้องเวียนอีกรอบเพื่อเป็นการต่ออายุ
ทุกครั้งที่ไปจะไปที่เจดีย์นี้เสมอ หากว่าไปถึงในตอนเย็นจะเดินไปกราบและประทักษิณาสามรอบ และนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มบารมีให้กับตนเอง
บรรยากาศในยามค่ำคืนนั้นสวยงาม เพราะว่ามีการเปิดไฟ เพื่อให้มีแสงสดใส หลายครั้งที่ไปที่นีครั้งที่ไปแล้วเมื่อมองแล้วตื้นตันใจมาก ในตอนที่สิ้นแล้วรัชกาลที่ 9 ซึ่งในตอนนั้นคือวันที่ 13 เป็นวันที่ต้องเดินทางเพื่อไปอินเดีย แต่บ่ายวันนั้นได้รับข่าวร้ายหลังจากกลับมาจากพนมเปญ แทบไม่เชื่อในหูของตนเองในการประกาศทางโทรทัศน์
จริงๆแแล้วเราได้ยินข่าวตั้งแต่ก่อนที่จะกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้วว่า รัชกาลที่ 9 สิ้นแล้วใช่ไหม จากนักศึกษาแต่เราเองไม่เชื่อเพราะว่าในประเทศไทยยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่หลังจากได้ฟังเหมือนกับว่าทุกอย่างหยุดไปหมด คนไทยเองก็เช่นกัน หันไปทางไหนมีแต่น้่ำตาหลั่งริน ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติสิริกิตต์ เดินทางตอนกลางคืนไม่มีแม้แต่เสียงรถวิ่ง รถติดเหมือนแต่ก่อน
คืนนั้นชุดในกระเป๋าเปลี่ยนจากสีสดใสกลายเป็นสีดำและขาว เพื่อที่จะเดินทางไปอินเดียตามรอยพระศาสดา เป็นระยะเวลา 15 วัน แต่เมื่อเรานั้นมาถึงเจดีย์คือในวันที่เจ็ดที่วัดมีการทำพิธีน้ำตาของชาวไทยในสถานที่แห่งไหลรินต่างนึกถึงพระองค์ จนคนอินเดียถามเราว่าทำไมคนไทยถึงรักพระองค์ขนาดนี้
การจัดงานเพื่อบูชาพระเจดีย์เริ่มขึ้นในตอนกลางคืน มีการแสดงเพื่อบูชาหลายรายการท่ามกลางอากาศหนาว ในการจัดงานมีมหรสพตลอดทั้งเจ็ดคืน ก่อนที่จะเดินทางไปทำพิธีในวันมาฆบูชาในสถานที่ถวายพระเพลิงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยระยะทางในการเดินเท้าจากวัดไปไม่ถึงหนึ่งกิโลจะถึงสถานที่ในการปลงสังขารของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นไปนมัสการในที่ถวายพระเพลิง หากว่าเดินไปอีกไม่ไกลจะเป็นที่แบ่งพระบรมมสารีริกธาตุ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หนึ่งที่คนไทยเดินทางไปเพื่อนมัสการ
หากว่าทีนี่ย้อนไปเมื่อสองพันห้าร้อยปีนั้น ชาวเมืองที่นี่ได้หลงลืมศาสนาพุทธไปยาวนานมาก จนเมื่อปัจจุบันในกิจกรรมการสมโภชของเจดีย์จึงมีการแสดงความกตัญญูทำบุญเพื่อที่จะระลึกถึง ในการเดินทางไปที่นี่นอจากเราจะได้กราบไหว้ เจดีย์นี้จึงถือเป็นจุดศูนย์กลางระหว่างสาลวโนนยาน สถานที่ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พอเราดูนั้นเราจะเห็นได้ว่าสถานที่แห่งนี้คนที่สร้างมีอัจฉริยภาพทางด้านศิลปะอย่างมากที่แสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรมของไทย ได้จากขั้นตอนการออกแบบ ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีวินิจฉัยเลือกแบบเจดีย์จากแบบร่างนั้นสถาปนิกได้ทูลเกล้าถวาย และพระองค์ไก้วินิจฉัยเพิ่มเติมเป็นลำดับ ตั้งแต่เริ่มออกแบบจนกระทั่งมีการพัฒนามาเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์เป็นที่พอพระราชหฤทัน จนได้มีคำดำรัสว่า "เจดีย์ของฉัน"
เมื่อได้เห็นและรับรู้จึงได้เห็นถึงความเก่งของพระองค์สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ เจดีย์นี้ยังคงอยู่แม้ว่าพระองค์จะจากไปนานแสนนาน เหมือนพระองค์ทรงรู้เลยว่าเมื่อสิ้นสุดแล้ว เวลาที่ชาวไทยเดินทางไปสักการะในสถานที่ปรินิพพานจะได้สักการะและปฏิบัติธรรมรอบพระเจดีย์ด้วย















