พะเยา พูนทรัตน์ วีรบุรุษผู้จากไป... ความทรงจำที่ไม่เลือนหาย
เรื่องราวของ พะเยา พูนทรัตน์ หรือ "จ้อน" ไม่ใช่เพียงแค่ตำนานนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ แต่คือเรื่องราวของ "ฮีโร่โอลิมปิกคนแรกของประเทศไทย" ผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์และแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทั้งชาติ
พะเยา พูนทรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวัยหนุ่ม พ.ศ. 2517 เขาตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาเงินเป็นค่าเล่าเรียนผ่านเส้นทางมวย โดยมีโอกาสได้ฝึกฝนกับครูออมทรัพย์ แหลมฟ้าผ่า อดีตแชมเปี้ยนมวยสากล หลังจากสั่งสมวิชาจนแกร่งกล้า พะเยาเริ่มต้นอาชีพนักมวยไทยภายใต้ชื่อ เพชรพะเยา ศิษย์ครูทัศน์ ก่อนจะเบนเข็มสู่มวยสากลสมัครเล่น และด้วยฝีมืออันโดดเด่น เขาก็สามารถปราบคู่ต่อสู้มากมายจนได้ติดทีมชาติไทย สร้างผลงานระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง อาทิ แชมป์มวยคิงส์คัพ, แชมป์โกเด้นคัพที่ประเทศเคนยา และเหรียญเงินมวยสมัครเล่นชิงแชมป์โลกที่สหรัฐอเมริกา
จุดสูงสุดในเส้นทางนักกีฬาของพะเยามาถึงในปี พ.ศ. 2519 เมื่อเขาได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา แม้จะพ่ายแพ้ให้กับนักชกเกาหลีใต้ในรอบชิงเหรียญเงิน แต่ เหรียญทองแดงโอลิมปิก ที่พะเยา พูนทรัตน์ คว้ามาได้ในขณะอายุเพียง 19 ปี ถือเป็น เหรียญแรกในประวัติศาสตร์โอลิมปิกของประเทศไทย และทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชาติในทันที
หลังจากสร้างชื่อในโอลิมปิก พะเยาตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางมวยสากลอาชีพ ด้วยความฝันอันสูงสุดคือการเป็นแชมป์โลก พะเยาได้เข้าร่วมสังกัดสหสมภพ ศรีสมวงศ์ และฝึกฝนอย่างหนัก จนในที่สุดก็ได้รับโอกาสขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท 115 ปอนด์ ของสภามวยโลก (WBC) กับ ราฟาเอล โอโรโน่ แชมป์จากเวเนซุเอลา การชกอันดุเดือดที่พัทยา ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2526 จบลงด้วยชัยชนะของพะเยา ทำให้เขากลายเป็น แชมป์โลก ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การครองตำแหน่งแชมป์โลกของพะเยา พูนทรัตน์ เป็นเพียงสมัยเดียว เมื่อเขาพ่ายแพ้คะแนนให้กับ จิโร่ วาตานาเบ้ ในการชกที่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 หลังจากนั้นพะเยาก็ตัดสินใจแขวนนวมหลังพ่ายแพ้ให้กับก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ
ชีวิตหลังแขวนนวม พะเยาได้เข้าทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ก่อนจะลาออกมารับราชการตำรวจ และสุดท้ายได้ลาออกจากราชการตำรวจเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่บ้านเกิด แม้จะผิดหวังหลายครั้ง แต่ความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อก็ทำให้เขาได้เป็น ส.ส. ในปี พ.ศ. 2544
แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับวีรบุรุษผู้นี้ พะเยา พูนทรัตน์ ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ได้เพียง 1 ปีก็ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และโรค ALS (โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง) ซึ่งเป็นผลมาจากความบอบช้ำสะสมจากการชกมวยมาเป็นเวลานาน อาการของโรคทำให้เขาทุกข์ทรมาน ร่างกายไม่สามารถขยับได้ เป็นอัมพาต และพูดไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.
ในช่วงเวลาที่เจ็บป่วยและไร้หนทาง พะเยาได้พยายามเรียกร้องสิทธิและการช่วยเหลือจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในฐานะฮีโร่ของชาติ แม้ร่างกายจะขยับไม่ได้ มือเขียนไม่ได้ เขาต้องใช้ปากคาบหลอดกาแฟจิ้มตัวอักษรเพื่อทำหนังสือร้องเรียน แต่เสียงเรียกร้องของเขากลับไม่ดังพอ การช่วยเหลือที่ได้รับนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงลิ่ว
พะเยา พูนทรัตน์ สิ้นใจลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริรวมอายุ 50 ปี ปิดฉากตำนานของวีรบุรุษผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปอย่างถาวร
เรื่องราวของพะเยา พูนทรัตน์ ไม่เพียงสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะนักกีฬาผู้สร้างประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นบทเรียนที่เตือนใจถึงความสำคัญของการดูแลนักกีฬาผู้เสียสละเพื่อชาติ แม้ร่างกายของเขาจะหยุดนิ่งไปแล้ว แต่จิตวิญญาณแห่งนักสู้และความทรงจำในฐานะฮีโร่ของชาติจะยังคงอยู่ในใจคนไทยตลอดไป
















