ซิกข์ ศรัทธาแห่งความเท่าเทียมและสันติภาพในประเทศไทยและต้นกำเนิด
ในใจกลางถนนพาหุรัด กรุงเทพฯ ชาวซิกข์ ได้เข้ามาตั้งรกรากและสร้างชุมชนที่เข้มแข็งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พวกเขาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายผ้า สืบทอดจากบรรพบุรุษ ที่นี่ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นศูนย์รวมทางสังคมที่สำคัญ
โดดเด่นเป็นสง่าคือ คุรุดวารา ศรีคุรุสิงห์สภา ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวซิกข์ ปัจจุบันมีชาวซิกข์ในประเทศไทยราว 30,000 คน และมีวัดซิกข์ 17 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา ไม่ว่าชาวซิกข์จะอยู่ที่ใดในโลก สิ่งแรกที่พวกเขาจะสร้างคือวัด เพื่อเป็นศูนย์รวมใจและสถานที่ทำความดี
ศาสนาซิกข์กำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 500 ปีที่แล้ว โดยมีศาสดา 10 พระองค์ หลังจากศาสดาองค์ที่ 10 ได้ประกาศให้ยึดถือ พระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบ เป็นศาสดาตลอดไป จึงไม่มีการแต่งตั้งศาสดาที่เป็นบุคคลอีกเลย พระมหาคัมภีร์นี้เปรียบเสมือนตัวแทนของพระเจ้า การอ่านคัมภีร์จึงเป็นการสรรเสริญและขอพรจากพระองค์ เพื่อความเมตตา สันติภาพ และความคุ้มครองจากภัยทั้งปวง
คำสอนที่น่าสนใจของศาสนาซิกข์คือการ ไม่ยอมรับการแบ่งชั้นวรรณะ แม้จะถือกำเนิดในอินเดียที่ยึดถือเรื่องวรรณะอย่างเข้มข้น ศาสดาเน้นย้ำว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า มาจากที่เดียวกัน "ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ มีแต่เรา" ทุกคนเท่าเทียมกัน และควรอยู่ร่วมกันด้วยความรักและความสงบสุข นอกจากนี้ ศาสนาซิกข์ยังยกฐานะของ สตรีให้ทัดเทียมกับบุรุษ โดยมองว่าสตรีคือผู้ให้กำเนิดชีวิตและผู้สร้างสรรค์ที่สำคัญ
การเดินทางสู่เมือง อมริตสา รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย คือการย้อนรอยสู่จุดกำเนิดของศาสนาซิกข์ ที่นี่คือที่ตั้งของ สุวรรณวิหาร หรือ "หรมันทิร ซาฮิบ" ซึ่งมีความหมายว่า "สถานที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า" วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นกลางสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ โดยคุรุรามธาส ศาสดาองค์ที่ 4 และที่น่าสนใจคือ คุรุอรชุน ศาสดาองค์ที่ 5 ได้โปรดให้พระนักบวชชาวมุสลิมเป็นผู้ลงศิลาฤกษ์ แสดงถึงการไม่แบ่งแยกศาสนาและวรรณะ สุวรรณวิหารได้รับการบูรณะและประดับประดาด้วยทองคำเปลวในสมัยมหาราชารันจิตรสิงห์ และมีเอกลักษณ์คือตัววิหารอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดิน เพื่อสอนให้ผู้มาเยือนน้อมตนลงด้วยความเคารพ
ชาวซิกข์ยังคงรักษาหลักคำสอนอย่างมุ่งมั่น พวกเขาเดินทางมาสักการะสุวรรณวิหารด้วยศรัทธาอันสูงสุด โดยทุกคนต้องโพกศีรษะและถอดรองเท้า อาสาสมัครชาวซิกข์ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งเพียงใด ก็พร้อมอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ซึ่งสะท้อนถึงการลดละอัตตา
ประเพณีสำคัญอีกอย่างคือการรับประทานอาหารร่วมกันใน โรงครัวสาธารณะ (ลางเกอร์) อาหารมังสวิรัติจะถูกแจกจ่ายฟรีให้ทุกคนโดยไม่แบ่งวรรณะหรือศาสนา ทุกคนนั่งรับประทานอาหารบนพื้นเสมอกัน เพราะเชื่อว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว ทุกคนต่างเท่าเทียมกัน
ปัจจุบัน ชาวซิกข์ราว 25 ล้านคนทั่วโลก ยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนแห่งความเท่าเทียมและสันติภาพ ทำให้พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืนและสงบสุข
















