สตีเฟน สเลวิน ชายผู้ถูกขังลืมที่ต้องใช้ชีวิต 22 เดือนในห้องขังเดี่ยว
ในปี 2005 สตีเฟน สเลวิน ถูกจับกุมในข้อหาขับรถขณะมึนเมาและข้อหาอื่น ๆ ในรัฐนิวเม็กซิโก สิ่งที่ควรจะเป็นการถูกคุมขังระยะสั้นกลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเขาถูกกักขังในห้องขังเดี่ยวนานกว่า 22 เดือนโดยไม่ได้รับการพิจารณาคดีเลย หลังจากถูกจับกุม เจ้าหน้าที่พบว่าสเลวินมีภาวะซึมเศร้าและถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย จึงถูกกักขังในห้องขังเดี่ยวที่มีสภาพเหมือนห้องกักกันแบบพิเศษ (padded cell) ซึ่งเขาถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพเปลือยกายสวมเพียงเสื้อคลุมกันฆ่าตัวตาย
ในช่วงเวลาที่ถูกกักขัง สเลวินไม่ได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเหมาะสม เขาถูกปฏิเสธการเข้าพบแพทย์ แม้จะร้องขอความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษาทางทันตกรรมที่เขาต้องดึงฟันตัวเองออกเนื่องจากไม่ได้รับการรักษา สุขภาพจิตและร่างกายของเขาทรุดโทรมลงอย่างหนัก น้ำหนักลดลงมาก ผิวหนังติดเชื้อรา ผมและเล็บเท้างอกยาวและไม่ถูกดูแล
ครอบครัวของสเลวินพยายามเรียกร้องความสนใจต่อสถานการณ์ของเขา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จนกระทั่งในที่สุดศาลตัดสินให้เขาพ้นจากการถูกกักขังหลังจากที่สภาพจิตใจของเขาทรุดโทรมจนไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้คดีได้ แม้จะไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิด แต่สเลวินต้องเผชิญกับความทรมานทางจิตใจอย่างรุนแรงและได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) ซึ่งต้องใช้ยารักษาตลอดชีวิต
ในปี 2012 คณะลูกขุนของศาลในแอลบูเคอร์คีได้ตัดสินให้โดนา อนา เคาน์ตี้ จ่ายเงินชดเชยให้แก่สเลวินเป็นจำนวน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อมามีการเจรจาตกลงกันที่จำนวน 15.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อยุติคดี คดีนี้กลายเป็นกรณีที่สะท้อนปัญหาการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่มีปัญหาสุขภาพจิตอย่างไม่เหมาะสมในระบบเรือนจำ และเป็นการเตือนถึงความสำคัญของการดูแลสิทธิมนุษยชนในสถานกักขัง
เรื่องราวของสตีเฟน สเลวิน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการละเลยและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องขังที่มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่งผลให้เขาต้องสูญเสียเสรีภาพและสุขภาพจิตไปอย่างรุนแรงในช่วงเวลานานเกือบสองปี การชดเชยจำนวนมหาศาลที่เขาได้รับสะท้อนถึงความผิดพลาดของระบบและความจำเป็นในการปฏิรูปการดูแลผู้ต้องขังในอนาคต








