ขาสั่นบนยอดปราสาทเกาะแกร์กัมพูชา(มรดกโลกแห่งใหม่ของกัมพูชา)
ความสูงทำให้เราได้รู้ว่าหนทางไปไม่มี เพราะหากเดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ทีไม่กี่เก้าคงถึงกาลอวสาร
สูงเฉียดฟ้า มองเห็นทุกสิ่งอย่าง ประวัติศาสตร์อันยาวนานอายุราวสองร้อยปี
สมกับที่ได้เป็นมรดกโลกจริงแท้
คนเราคงไม่ได้มีโอกาสบ่อยครั้งนักที่จะได้เดินทางไปในประเทศหนึ่งที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน เรียกได้ว่าสิบปีที่ผ่านมาน่าจะทั่วทั้งประเทศ 23 จังหวัดของประเทศกัมพูชา แต่ครั้งนี้จะมาเล่าความประทับใจที่ได้ไป ที่จังหวัดเขาพระวิหาร และได้ไปพบและสัมผัสกับปราสาทหนึ่งเรียกว่าปราสาทเกาะแกร์ ใหญ่อลังการมาก ตั้งแต่ทางเข้านั้นมีปราสาทที่รายล้อมด้วยหินใหญ่นานาชนิด ยังมีน้ำอยู่รอบๆ บริเวณของปราสาทนี้ เด็กๆ บอกเราว่าปราสาทนี้ แต่ก่อนนั้นอยู่ใต้น้ำมานาน และด้วยความที่อยู่กลางป่าจึงไม่มีใครเข้ามาพบ แต่พอนานเข้าน้ำลดลง จนทำให้ปราสาทนี้โผล่ขึ้นมาให้เห็น จึงทำให้เป็นที่ฮือฮา ตอนที่เราไปนั้นยังไม่ได้รับการประกาศจากองค์กรยูเนสโก้ว่าให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ตอนที่เราไปนั้นตอนปี 2663 เพิ่งมีการค้นเจอ สามารถเดินเข้าชมได้ยังไม่มีอะไรเป็นเพียงปราสาทที่ยังไม่มีใครรู้จัก
ทุกพื้นที่นั้นสามารถที่จะเดินขึ้นไปชมได้ทั้งหมด รวมถึงปราสาทด้านบนที่มีความสูงมากที่สุด กว่าภูเขา ขึ้นไปแล้วมองกลับลงมาแทบจะไม่เห็นคนเดินอยู่ด้านล่างเพราะว่าสูง ระยะทางในการเดินนั้นจากประตูทางเข้าประมาณ กิโลกว่าเราจะถึงปราสาทที่มีหลายชั้นเหมือนพีรมิด พูดตามที่เห็นแต่คนอื่นจะเห็นเป็นรูปอะไรนั้นไม่ทราบ
มีคนเคยบอกว่าสถานที่แห่งไหนที่เราไปแล้วเรามีความสุขและเหมือนว่าเราได้มาในบ้านของเรา สถานที่แห่งนั้นคือที่อยู่ของเราในอดีตชาติ แสดงว่าแต่ก่อนนั้นเราเคยมาอยู่ที่นี่ และได้สร้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่วจึงได้กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่เราเกิดในอีกประเทศ ได้มาทำงานได้มาอาศัยร่มโพธิ์นานถึงสิบปี ชีวิตเรามีไว้เดินทางต่อสู้ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ย่ำอยู่กับที่ หากว่าเรานั้นก้าวออกมาแล้ว เราต้องเรียนรู้รอบทั้งหมด มีโอกาสออกเดินทางค้นหาให้ได้ความรู้อย่านอนอยู่ในห้องเฉยๆ เราจะไม่ได้อะไรเลยกับเวลาที่มันเสียไป อย่าให้ตัวเองต้องมานั่งเสียใจกับอดีตว่าทำไมวันนั้นเราไม่ไปที่นั่นวันนั้นทำไมเราอย่างนั้น
ความสูงของปราสาทที่เป็นขั้นบันไดนั้นสูงประมาณ 35 เมตร ในการสันนิษฐานไว้ว่าที่นี่น่าจะใช้เป็นเมรุเผาศพ หรืออาจจะใช้ประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับไฟ ในส่วนของด้านบนนั้นมีปล่องไฟอยู่หากว่าเราขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วมองตรงกลางจะเป็นรูปล่องขนาดพอประมาณลึกลงไป ไม่ได้ดูเยอะเพราะว่ากลัวตก
การพยายามกว่าจะขึ้นมานั้นน่าจะไม่ลำบากเท่ากับตอนลง เพราะว่าในตอนขึ้นนั้นเราก้าวขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ได้มองหลัง แต่ตอนลงเราพยายามที่จะเกาะไม่ได้บางคนนั้นต้องนั่งและค่อยๆลง ด้วยความสูงเรียกว่าเฉียดฟ้าได้ ในบริเวณนั้นไม่มีสิ่งใดสูงเท่า
สิ่งที่มากกว่าความชันนั้นคือ ลมที่พัดมาแทบจะปลิว ตัวเล็กน่ากลัวแต่ตัวหนาอย่างเราไม่ค่อยสนใจ ยืนกลั้นใจถ่ายภาพเอา หันหลังให้กับกล้อง หันหน้าไม่ได้กลัวหงาย ต้องระวังชีวิตอีกยาวไกล มีคนเล่าว่ามีคนตกลงไปจากชั้นบน แล้วเสียชีวิตยิ่งทำให้ใจสั่นมาก ยืนถ่ายไม่เท่าไหร่พอเราจะลงจากจุดนี้คือต้องคลานมา จุดนี้สามารถที่จะขึ้นได้ไม่เกินห้าคนเพราะว่าปลายยอดของปราสาทมีขนาดเล็ก
เราต้องรีบขึ้นเพราะว่าหากได้เป็นมรดกโลกแล้วที่นี่น่าจะไม่เปิดให้ขึ้นเพราะว่าปราสาทนั้นค่อนข้างที่อายุเยอะและเก่าแก่ สักวันหินที่เรียงกันอยู่อาจจะทานกับลมไม่ได้พังลงมา แต่ตอนนี้ขอสักร้อยภาพก่อนเพราะว่าตอนแรกคิดว่าจะขึ้นมาไม่ได้ กลัวแต่ตอนนี้เอาความกลัวไว้ก่อน
มองดูรั้วไม้ด้านหน้าตรงนั้นคือรั้วที่กลั้นไว้ เดินไปอีกนิดคือตกลงจากชั้นดาดฟ้าแน่นอน 35 เมตร อาจจะไม่ถึงดินค้างอยู่สักชั้น
สิ่งที่เรานั้นต้องระวังในการเดินปราสาทนี้คือ ห้ามออกนอกเส้นทาง เพราะว่าในบริเวณ 81 ตารางกิโลเมตรนั้นยังมีวัตถุระเบิดที่ยังไม่สามารถที่จะเก็บกู้ได้หมด หมายถึงว่าหากว่าเรานั้นเดินออกไปเหยียบเจ้าระเบิดได้ ระวังมากเพราะยังไม่เคยเห็นระเบิด
อีกอย่างหนึ่งคือยุง เพราะเหตุว่าเคยอยู่ใต้น้ำมีแหล่งน้ำรอบปราสาทจึงทำให้มียุงมารบกวน ถือยากันยุงไปด้วยได้ เดี๋ยวขาลาย
เป็นภาพที่ชอบมากเพราะว่าเป็นธรรมชาติดี ลมแรงเสยผม แต่จริงๆ แล้วมองและเล็งที่ที่เราจะนั่งลงและกลับลงสู่พื้นดินเพราะว่าคนเริ่มขึ้นมาเยอะแล้ว ในส่วนของเด็กๆ ที่มาทัศนศึกษาในตอนนั้นเรียนรู้แบบเดินรอบเพราะว่าบันไดนั้นชันน่ากลัว
การถ่ายภาพที่นึกถึงเมื่อไหร่หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเสมอ ถ่ายรูปบนหน้าผายังไม่น่ากลัว เพราะว่านอกจากจะไม่มีที่พิงแล้วยังไม่มีที่กั้นอีก หากว่าเกิดอะไรขึ้นเกาะที่ไหนไม่ทันแน่นอน คนอื่นไม่กล้ายืน เขานั่งถ่ายสวยๆ แต่เรามันต้องไม่ธรรมดา เพราะว่าครั้งเดียวในชีวิตแน่นอน
หากว่าเราต้องการที่จะเดินทางไปทีปราสาทเกาะแกร์แห่งนี้ สามารถที่จะเดินทางจากเมืองเสียมเรียบได้เลย มาถึงอาจจะมีค่าเข้าแล้วตอนนี้ประมาณ 825 บาท แต่ตอนนั้นที่ไปยังเข้าฟรีอยู่ ตัวของปราสาทนั้นยังคงสมบูรณ์อยู่เป็นบางที่ ในบางที่ได้รับผลจากการทำสงครามแรงระเบิดทำให้หินนั้นพังทลายลงมา เราอาจจะเห็นได้เมื่อเราเดินเข้าไป เดินข้ามเจ้าหินก้อนโตหลายก้อน มีสระน้ำบริเวณโดยรอบด้วย ถือว่าเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ เดินจนขาลากได้เช่นกัน ถ้าจะให้ดีเราไม่ควรไปคนเดียวเพราะว่าจะหลง
ไปด้วยกันกับเจ้าถิ่นที่รู้หากว่ามีป้ายสัญลักษณ์หรือคำเตือน ตรงไหนถ่ายภาพได้บ้าง หากว่าเหยียบอะไรสักอย่างจะได้สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ เจ้าหน้าที่จะมีเพียงทางเข้าเท่านั้น ตอนนั้นนะ แต่ถ้าตอนนี้น่าจะอยู่ดูแลในหลายๆ จุด มีเพื่อนหรือนักศึกษาไปด้วยสบายใจกว่าไปคนเดียว เหมือนมีไกด์คอยอธิบายให้ฟัง ระหว่างเดินทางมีคนสนทนาด้วยไม่เงียบ
โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นคนที่ชอบเที่ยวชมปราสาทนะ แต่ด้วยความที่เรานั้นมาอยู่ในประเทศที่มีประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับปราสาท หากว่าเรานั้นไม่ไปเที่ยวปราสาท คงจะต้องไปเที่ยววัด เพราะว่าทะเลที่นี่ไม่ได้มีเยอะไปรอบสองรอบเราเองก็เบื่อแล้ว แต่หากว่าเราไปเที่ยวปราสาทถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมที่ไม่มีใครเหมือน หรืออาจจะเป็นหนึ่งในโลกนั้น ดูยิ่งใหญ่
การเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่าสามารถที่จะโยงไปในสมัยโบราณได้ ว่าแต่ก่อนนั้นชาวบ้านหรือชาวเมืองมีความเป็นอยู่อย่างไร ความเจริญรุ่งเรืองจะขนาดไหน ขนาดว่าผ่านมามากกว่าสองร้อยปีแล้วยังขนาดนี้ แต่สิ่งแรกที่จะบอกคือคนสมัยก่อนนั้นขยันมาก และน่าจะตัวใหญ่กว่าคนในปัจจุบันด้วย ถึงได้ยกหินได้ใหญ่ขนาดมหึมา และยังฉลาดในการสร้างสถาปัตยกรรมที่ออกมาได้อย่างลงตัว ทั้งที่แต่ก่อนนั้นไม่ได้มีการศึกษาและเทคโนโลยีที่กว้างและก้าวไกลขนาดนี้ รักตัวเองให้โอกาสกับตัวเอง จะเป็นสถานที่เที่ยวแล้วมีความสุข















