เขาพระวิหาร ตำนานความยิ่งใหญ่กระโดดมาทักทายทหารไทย
เหมือนวันวารจะกลายเป็นตำนาน เพราะก่อนนั้นมีโอกาสเที่ยวเขาพระวิหาร
เช้าสดนั่งรถขึ้นนอกเส้นทาง ต้องใช้รถเขานั้นจึงขึ้นได้ เวลาขึ้นนั้นหูอื้อเพราะความสูง
ประหนึ่งคนดูมุ่งไม่เอ่ยวาจา เพราะหากถ้าได้ยินต้องจ่ายตัง
ครั้ังแรกในเขาพระวิหาร มาครั้งนี้เดินรอบเลยทั้งหมดสี่ชั้น สวยงามมากเมื่อได้เห็นปราสาทในครั้งแรก หินทุกก้อนนั้นสมกับว่าในอดีตนั้นคือวิหารในการทำพิธีบวงสรวงของเหล่าพราหมณ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ พอเรามองในหินทุกก้อนน่าคิดเหมือนกันนะว่า คนสมัยนั้นสามารถที่จะยกก้อนหินยักษ์นี้เรียงขึ้นได้อย่างไร แล้วก้อนหินนั้นมีความลงตัวและลวดลายสวยอย่างน่าอัศจรรย์ สถานที่จริงสวยงามกว่าในภาพ
แอบคิดเหมือนกันว่า สวยกว่านครวัด ถ้าดูในความยิ่งใหญ่นั้นจะแพ้ แต่หากว่าดูการสร้างมันดูลงตัวมากกว่า หรือหินนี้จะสวยกว่า แต่ชอบกว่าการไปนครวัด วิวสวยกว่า รายรอบไปด้วยหน้าผา เขาสูงลมโชย พอตอนที่ไปนครวัดนั้นร้อนมาก ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็ไม่มีที่อยู่ ยิ่งทางเดินเข้าไปนั้นระยะทางไกล ไม่มีร่มเงาให้เลย แต่ที่นี่สามารถที่จะหลบในร่มไม้ระหว่างการรอคอยในการถ่านภาพ บริเวณโดยรวมนั้นเงียบสงบคงมีแต่พวกเราที่เดิน นอกนั้นไม่มีใครเลย เพราะว่าเส้นทางในการขึ้นมานั้นค่อนข้างที่จะใช้เวลามากหน่อย บนเขาอันสูงจะต้องใช้กำลังรถปีน
หินด้านหลังนั้นเป็นกำแพงของบันไดที่เราเดินขึ้นบนปราสาท เหนื่อยเลยนั่งถ่ายภาพที่ขอบของบันได ขนาดของบันไดใหญ่มากเช่นกันเป็นบันไดหินทั้งหมด หินอ่อนสีชมพู บางที่โดนฝนก็จะเป็นสีคล้ำเหมือนด้านหลัง เวลาที่ใครจะไปเที่ยวสถานที่แห่งนี้ เสื้อผ้าสีสดใส่แล้วจะถ่ายภาพออกมาได้สวยมาก หน้าตาสดใส
แนะนำว่าหากใครต้องการขึ้นมานั้นจะต้องขึ้นมาในตอนเช้า มาตอนบ่ายจะร้อนมาก แต่ลมโล่งอยู่
วันนี้จะพาไปเลาะสถานที่ที่คนเราไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ่อยครั้งนัก ครั้งเดียวและน่าจะไม่ได้ไปอีกเพราะจะต้องบินไปขึ้นข้ามประเทศ หนทางายากลำบากในการขึ้น นักท่องเที่ยวบางคนนั้นขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วตอนเช้าค่อยออกเดินเที่ยว แต่ส่วนมากที่เราไปเจอจะมีเพียงคนฝั่งกัมพูชาที่เดินเที่ยวคนไทยไม่เจอเลย นอกจากเราเอง
ตรงนี้เป็นจุดที่สูงและสวย อยู่ชั้นที่สี่ เดินมาเรื่อยๆ จนไม่สามารถที่จะเดินต่อได้แล้วต้องวนกลับไปขึ้นรถ วิวของผามออีแดง อย่าได้มองไปด้านหลัง และเดินไปอีกนิดคือขาสั่นมาก แดดตอนนี้คือประมาณ 9 นาฬิกา
ตอนแรกที่ขึ้นมาที่นี่ไม่กล้าจะเดินมาใกล้บริเวณนี้เพราะว่าวินแดด แสบตาแสบผิวมาก แต่พอเรานั้นอยู่ได้สักพักเริ่มชิน เดินมามากกว่า 500 เมตรจะถึงตรงนี้ ปีนก้อนหินขึ้นมาตั้งหลายก้อน ตรงนี้หากว่าเรามองไปเราจะเห็นทุกคนบนลานนี้เพราะว่าสูงมาก เวลาจะลงจะต้องมีคนอุ้มลงเพราะกระโดดลงจะเลยตกหน้าผาได้
ทุกคนต่างตื่นเต้นกับวิวด้านหลัง ตรงบริเวณนี้นั้นจะเป็นลานหินกว้างมาก ไม่มีดินเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ ตรงนี้มีบริการน้ำดื่มด้วยแต่จะต้องจ่ายเงินซื้อเอง หากจะแบกน้ำขึ้นมาเองจะมาทานกันที่นี่ แต่ระหว่างทางที่เดินมาประมาณชั้นที่สามของปราสาทนั้นจะมีในส่วนของสถานที่ที่สามารถที่จะทานข้าวได้ ศาลาพักลมโชยมาก ความสูงนั้นจะค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ
ดูด้านหลัง สวยมาก พื้นที่รอยต่อระหว่างชายแทน เขานี้คือพรหมแดนธรรมชาติของเพื่อนบ้านเรา สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการบูชาเหล่าเทวดาทั้งหลาย ยิ่งใหญ่และสวยงามมากหากเราได้มีโอกาสไปเที่ยว
ตรงนี้ถ่ายบริเวณด้านในของปราสาท ที่มีการพังทลายลงมา ยังไม่ได้มีการบูรณะซ่อม เพราะว่าการที่่เครื่องทุ่นแรงหรือรถจะเข้ามานั้นยากมาก หากจะต้องใช้คนในการขนก็ไม่สามารถเพราะว่าก้อนใหญ่และหนัก ในบริเวณนี้จะเป็นปราสาทที่มีความสมบูรณ์และร่มเย็นมาก เดินผ่านมาจะมีจุดในการสักการะเทพหลายองค์ ด้านบนสามารถที่จะขึ้นไหว้และเสี่ยงเซียมซี ขอพรได้ แต่คือตอนนี้หาที่นั่งก่อนเพราะว่าเดินเท้ามามากกว่าสองกิโลแล้ว
เส้นทางตรงนี้คือประตูขึ้น แต่ว่าเรานั้นเดินลงมาจากปราสาท ในส่วนนี้คือด้านล่างบันไดทางขึ้น ที่มีการเล่าว่าทางขึ้นของปราสาทนั้นจะอยู่ฝั่งของประเทศไทย แต่ในตัวของปราสาทนั้นจะอยู่ในฝั่งของกัมพูชา หากเราเดินหน้าไปนั้นจะเห็นทหารไทยที่อยู่ในบริเวณนั้นประมาณสามร้อยเมตร เดินข้ามไปฝั่งไทยได้เลย มีเขตแดนที่ติดกัน
ตรงนี้เราข้ามมาในฝั่งของประเทศไทยแล้ว เอาขนมและนมมาฝากทหารไทย ไม่ไกลมาก มีหนามกั้น มาเยี่ยมบางทีทหารฝั่งกัมพูชานั้นจะข้ามมากินส้มตำในฝั่งของไทย เพราะว่าส้มตำอร่อยมาก บริเวณฝั่งกัมพูชานั้นจะเป็นการสร้างกระท่อมเล็กๆ อาศัยอยู่แต่มีทหารไม่มีประชาชน สิ่งที่เห็นในฝั่งของไทยคือความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ ชุ่มชื้นเขียวชอุ่มมาก
คนที่เรานั้นถ่ายภาพด้วยนี้ตรงกลางคือคนที่พาเราเดินข้ามมาฝั่งไทย เพื่อมาดู เราอยู่ใกล้กันมากเพียงก้าวเดียว ตอนที่ก้าวคือการเหยียบสองแผ่นดินพร้อมกัน ขาหนึ่งฝั่งกัมพูชา อีกข้างหนึ่งเหยียบฝั่งไทย
ตอนถ่ายภาพนี้จำลองตอนหนึ่งในละคร คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคำแก้วที่เดินลงมาแล้วจะใช้คำพูดว่า "อยู่ดีๆ กันไม่ได้แล้วใช่ไหม" สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นงูนั้นเลื้อยลงมา แต่พอเราเดินออกมาแล้วยังเป็นคนเหมือนเดิม
เวลาที่เดินเราก็เล่นกันไปด้วยเพราะว่าเดินมาระยะไกลมาก ถ้าหากว่าจะให้เดินกลับคงไม่เพราะว่าร้อนมากและปีนมาเยอะ เราจะอ้อมลงไปอีกด้านหนึ่งแล้วรถรอรับเลย
การเดินทางเที่ยวในสถานที่แห่งประวัติศาสตร์นั้นเราจะต้องเคารพในสถานที่ มุมแต่ละมุมจะมีการอธิบายสถานที่ต่างๆ ว่ามีไว้เพื่อทำอะไร ตรงไหนประตูเมือง ตรงไหนที่เขาใช้ในการทำอะไร มันเหมือนการย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปี การใช้ชีวิตบนเขามีความยากลำบาก มากกว่าการใช้ชีวิตคือการสร้างสถานที่ที่สูงมากกว่าระดับน้ำทะเลนี้ยิ่งยากกว่า เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้เขาพระวิหารนั้นอยู่ด้านบนสุด บนลานกว้าง ที่หากว่ามีคนมาขายขนมหรือน้ำให้ จะให้เขาเลยหากว่าราคานั้นแพงกว่าปกติ เพราะเส้นทางในการนำขึ้นมานั้นมากกว่ายี่สิบกิโล
ใครไม่ชอบเที่ยวดูปราสาทแต่เราชอบ เพราะว่าเราได้เรียนรู้และจินตนาการไปถึงในตอนนั้นว่า คนสมัยนั้นมีความขยันกันมากขนาดนี้ในการสร้างเมือง
หินในนี้ไม่ใช่แต่เป็นกินที่ต่อกันเป็นก้อนเดียวกัน แต่มีการแกะสลักตกแต่ง บางก้อนนั้นเป็นแผ่นใหญ่โดยเฉพาะในส่วนของกำแพงเมืองที่เรานำหน้าไปแนบ นำมือไปจับ หรือสระน้ำที่ด้านล่างนั้นมีการวางหินเรียงขอบสระอย่างลงตัว
หากว่าต้องไปสถานที่นี้อีกครั้งก็ยังจะไปชมเขาพระวิหาร เพราะหินทุกก้อนห้องทุกห้องมีเรื่องราว เรื่องเล่าที่พิสดารอลังการทุกที่ อีกอย่างคือผ่านมานานแล้วยังคงสภาพสมบูรณ์















