ปาฏิหาริย์แห่งเทือกเขาแอนดีส 72 วันบนขุนเขาแห่งความหวัง หลังเครื่องบินตก
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1972 เที่ยวบิน 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัย พร้อมผู้โดยสาร 45 ชีวิต ส่วนใหญ่เป็นทีมนักรักบี้เยาวชน "Old Christians Club" กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงซันติอาโก ประเทศชิลี เพื่อแข่งขันนัดสำคัญ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อเครื่องบินประสบอุบัติเหตุตกกลางเทือกเขาแอนดีสอันหนาวเหน็บ ผู้เสียชีวิตทันที 12 คน และหายสาบสูญอีก 12 คน ทำให้ผู้รอดชีวิต 33 คน ต้องเผชิญฝันร้าย 72 วัน ท่ามกลางอุณหภูมิเยือกแข็ง การขาดแคลนอาหาร และความหวังที่ริบหรี่
หายนะเหนือเทือกเขาหิมะ
ในวันที่ 13 ตุลาคม สภาพอากาศยังคงเลวร้ายเหนือเทือกเขาแอนดีส แม้กัปตันจะพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อันตราย แต่ทัศนวิสัยที่ย่ำแย่และการคำนวณที่ผิดพลาดทำให้เครื่องบินชนเข้ากับภูเขาอย่างจัง ส่วนหางขาดกระเด็น ผู้โดยสารบางส่วนกระเด็นออกจากเครื่องบิน ก่อนที่ลำตัวเครื่องจะไถลลงไปตามแนวเขาด้วยความเร็วสูง และชนเข้ากับกองหิมะจนหยุดนิ่ง ความหวังแรกเริ่มที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะพบผู้รอดชีวิตกลับกลายเป็นความสิ้นหวัง เมื่อการค้นหาถูกยกเลิกหลังจากผ่านไป 8 วัน โดยสรุปว่ายากที่จะพบผู้รอดชีวิตในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นนั้น
การดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
ผู้รอดชีวิตต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงถึง -30 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน พวกเขาใช้ซากเครื่องบินเป็นที่พักพิงชั่วคราว ดัดแปลงเบาะและชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้ความอบอุ่นและป้องกันลมหนาว ความหวังสุดท้ายพังทลายลงเมื่อวิทยุที่พบแจ้งข่าวร้ายว่าการค้นหาถูกยกเลิก การขาดแคลนอาหารเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ช็อกโกแลตเพียง 8 แท่ง หอยแมลงภู่ 1 กระป๋อง แยม 3 ขวด และถั่วเล็กน้อย คือเสบียงทั้งหมดที่พวกเขามี และมันก็หมดลงภายในไม่กี่วัน
ท่ามกลางความสิ้นหวังและความหิวโหย การตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดก็เกิดขึ้น พวกเขาต้องพึ่งพาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นั่นคือเนื้อของเพื่อนและครอบครัวที่เสียชีวิต การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้เคร่งศาสนาคาทอลิก แต่ด้วยความต้องการที่จะมีชีวิตรอด คาร์ลอส ปาเอซ และโรแบร์โต้ คานิสซา นักศึกษาแพทย์วัย 19 ปี จึงเป็นผู้นำในการตัดสินใจครั้งนี้ พวกเขาใช้เศษแก้วจากกระจกแตกหั่นเนื้อของผู้เสียชีวิตและนำไปตากแดดเพื่อให้แห้งและง่ายต่อการบริโภค
การเดินทางสู่ความหวัง
หลังจากผ่านไป 2 เดือน ซากเครื่องบินที่เคยเป็นที่พักพิงถูกพายุหิมะพัดถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาตระหนักว่าการรอคอยความช่วยเหลืออยู่กับที่ไม่ได้นำไปสู่หนทางรอด โรแบร์โต้ คานิสซา และ นันโด้ ปาร์ราโด ตัดสินใจที่จะเสี่ยงเดินทางข้ามเทือกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้จะไม่มีแผนที่ อาหาร หรือประสบการณ์การปีนเขาเลยก็ตาม
การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรค นูโน่ ทูกัตติ เพื่อนร่วมเดินทางอีกคน เสียชีวิตระหว่างทาง แต่ปาร์ราโดและคานิสซาก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาเดินเท้าต่อไปเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งวันที่ 9 ของการเดินทาง พวกเขาก็ได้พบกับสัญญาณของมนุษย์ และในที่สุดก็ได้พบกับคนเลี้ยงสัตว์ ซึ่งนำไปสู่การช่วยเหลือในที่สุด
ปาฏิหาริย์และชีวิตใหม่
ในวันที่ 22 ธันวาคม เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศชิลีได้ระดมการค้นหาอีกครั้ง และพบผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน แม้สภาพภูมิประเทศจะยากลำบาก แต่ความช่วยเหลือก็มาถึง พวกเขาถูกนำตัวออกจากที่เกิดเหตุในสภาพกระดูกหัก หิมะกัด เป็นไข้ และขาดน้ำอย่างรุนแรง ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายได้รับการช่วยเหลือเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1972 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 72 วันหลังเกิดอุบัติเหตุ
เรื่องราวการเอาชีวิตรอดที่เหลือเชื่อนี้กลายเป็นที่รู้จักในนาม "ปาฏิหาริย์แห่งแอนดีส" ถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือหลายเล่ม และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ "Alive" นำแสดงโดยอีธาน ฮอว์ค ในปี 1993 เรื่องราวของพวกเขาไม่เพียงแต่สะท้อนถึงสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ แต่ยังเป็นบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความหวัง ความกล้าหาญ และมิตรภาพที่แข็งแกร่งแม้ในสถานการณ์ที่โหดร้ายที่สุด
















