การเดินทางของศรัทธา เรื่องราวของพระเยซูในสามศาสนาใหญ่
ศาสนาคริสต์คือหนึ่งในศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้คนนับถือมากมาย และมี พระเยซู เป็นบุคคลสำคัญที่สุด พระองค์ถือเป็นพระผู้ช่วยให้รอดตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล ชาวคริสต์เชื่อใน ตรีเอกานุภาพ ซึ่งประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร (พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูทรงจุติลงมาเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ศาสนายูดาย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคริสตศาสนา กลับไม่ยอมรับสถานะของพระเยซู และไม่ยอมรับพระคัมภีร์ใหม่ ชาวิวยังคงรอคอยพระผู้ช่วยให้รอดที่จะนำพวกเขากลับสู่เยรูซาเล็มเพื่อสร้างอาณาจักรแห่งความสุขสบาย
ส่วน ศาสนาอิสลาม เชื่อว่าพระเยซู (ศาสดาอีซา) เป็นเพียงศาสดาคนหนึ่งที่พระอัลเลาะห์ส่งมายังโลกมนุษย์เท่านั้น และไม่เชื่อว่าพระองค์ถูกตรึงกางเขน คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระอัลเลาะห์ทรงนำท่านขึ้นสู่สวรรค์ และศาสนาอิสลามยังเน้นย้ำว่าการสำนึกผิดและการไม่ทำผิดซ้ำก็เพียงพอแล้วสำหรับการได้รับการอภัยจากพระอัลเลาะห์ โดยไม่จำเป็นต้องมีใครสละชีวิตเพื่อไถ่บาป
ความเห็นต่างเหล่านี้หยั่งรากลึกมาจากประวัติศาสตร์และหลักความเชื่อที่แตกต่างกันของทั้งสามศาสนา
รากฐานร่วมจากอับราฮัม
ย้อนกลับไปในยุคโบราณ อับราฮัม ผู้นำเผ่าที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว ได้นำพาผู้คนมายังดินแดนคานาอัน ซึ่งภายหลังรู้จักกันในนาม ปาเลสไตน์ พระองค์ที่อับราฮัมเชื่อและบูชานี้คือพระองค์เดียวกับที่ชาวยิวเรียกว่า พระยาห์เวห์ ชาวคริสต์เรียกว่า พระเจ้า และชาวมุสลิมเรียกว่า พระอัลเลาะห์
เชื้อสายของอับราฮัมได้ก่อกำเนิดเป็น ชาวยิว ซึ่งต้องเผชิญกับการพลัดถิ่นและการเป็นทาสในอียิปต์ โมเสส ได้นำพาชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ และได้บัญญัติ บัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานของศาสนายิว สัญญาของพระเจ้ากับชาวยิวระบุว่าพวกเขาคือชนชาติที่ถูกเลือกสรร ทำให้ศาสนายูดายไม่ได้เผยแผ่สู่ชนชาติอื่น
หลังจากผ่านการพลัดถิ่นหลายครั้ง ชาวยิวได้กลับมาสร้างอาณาจักรและวิหารในเยรูซาเล็ม แต่ก็ถูกทำลายลงโดยชาวโรมัน ทำให้ชาวยิวต้องเร่ร่อนไปทั่วโลกเป็นเวลานาน ก่อนจะสถาปนาประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่ในปี 1948
ความแตกต่างในพระคัมภีร์และความเชื่อ
ศาสนายูดายมี ทานัค (พันธสัญญาเดิม) เป็นคัมภีร์หลัก ขณะที่คริสตศาสนามีทั้ง พันธสัญญาเดิม และ พันธสัญญาใหม่ ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูคือพระเมสิยาห์ที่ถูกทำนายไว้ในพันธสัญญาเดิม และพระองค์ได้นำ พันธสัญญาใหม่ มาสู่มนุษยชาติ โดยเน้นความเท่าเทียมกันของผู้ศรัทธาทุกคน และการไถ่บาปผ่านการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู ทำให้ศาสนาคริสต์เปิดกว้างและเผยแพร่ไปทั่วโลก
สำหรับศาสนาอิสลาม คัมภีร์อัลกุรอาน คือคัมภีร์ที่สำคัญที่สุด พวกเขายอมรับบางส่วนของไบเบิล แต่เชื่อว่าส่วนที่เหลือถูกบิดเบือน ชาวมุสลิมเชื่อว่ามูฮัมหมัดคือศาสดาท่านสุดท้ายที่พระอัลเลาะห์ส่งมา คำสอนในอัลกุรอานจึงเป็นเหมือนการ "อัปเดต" คำสอนจากพระเจ้า
หลักฐานและปาฏิหาริย์: มุมมองทางประวัติศาสตร์
พระคัมภีร์ใหม่โดยเฉพาะพระวรสารสี่เล่ม ได้บันทึกเรื่องราวชีวิตของพระเยซูไว้อย่างละเอียด ทั้งการประสูติ ปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น การรักษาโรค การเดินบนน้ำ และเหตุการณ์สำคัญที่สุดคือการถูกตรึงกางเขน การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนชีพ
แม้ว่ารายละเอียดในพระวรสารทั้งสี่เล่มจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าพระเยซูมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ โดยมีหลักฐานจากนักประวัติศาสตร์นอกศาสนา เช่น ไททัส ฟลาเวียส โจเซฟัส และ ทาซิทัส ที่กล่าวถึงพระเยซูและคริสตศาสนา
อย่างไรก็ตาม ความจริงแท้ของปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิชาการบางท่านมองว่าพระคัมภีร์ควรได้รับการศึกษาในฐานะวรรณกรรมคลาสสิก โดยใช้หลักการทางประวัติศาสตร์ เช่น หลักการของความแตกต่าง ที่ชี้ว่ารายละเอียดที่ดูขัดแย้งกับเจตนาหลักของคัมภีร์มักเป็นเรื่องจริง เช่น การที่พระเยซูถูกเรียกว่า "กษัตริย์ของชาวยิว" ซึ่งเป็นคำเยาะเย้ย หรือการที่พระองค์ลังเลที่จะเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมีความแตกต่างในคำสอนและการตีความ แต่ศาสนาคริสต์ ยูดาย และอิสลาม ล้วนมีรากฐานมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน และเรื่องราวของพระเยซูยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่หล่อหลอมความเชื่อของผู้คนทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้













