รีวิวหนังสือ ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน (It doesn't have to be crazy at work)
เราไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานที่รับได้มอบหมายบางครั้งมันก็ไม่เพียงพอ เราถูกคาดหวังให้ทำงานฉลาดขึ้น โดยองค์กรได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ต้องยอมรับว่าความเครียดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และการทำงานปกติก็ด้อยประสิทธิภาพลง
จากสองผู้บริหารผู้ฉีกกฎการทำงานแห่งยุค Jason Fried และ David Heinemeier Hansson จะให้คำแนะนำในบริหารการทำงาน เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่าการทำงานหนักเกินควรส่งผลเสียทั้งลูกจ้างและองค์กร แปลโดย จินดารัตน์ ธรรมรงวุทย์
ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์
1.วิธีทำงานอย่างสงบสุข : ทำงานวันละ 8 ชม. / มีเวลาส่วนตัวเต็มที่ ไม่ต้องทำงานเสาร์-อาทิตย์ / มีประชุมน้อย / นอนเต็มที่ ไม่ต้องเร่งรีบ / มีอำนาจในตัวเองเพียงพอ / ทำงานที่ไหนก็ได้ (Work from anywhere) / Deadline ของงานทำแล้วเป็นไปได้จริง
2.การอยู่อย่างสบายใจในขอบเขตของตนเอง คือสิ่งสำคัญของการอยู่อย่างสงบ
3.เครื่องจักรทำงานได้ตลอด 24 ชม. 7 วันต่อสัปดาห์ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ แทนที่จะเพิ่มรายการสิ่งที่ต้องทำ ให้เพิ่มรายการสิ่งที่ไม่ต้องทำแทน
4.ถ้าเรามีงานให้ทำแค่ 3 ชม. อย่าเพิ่มงานไปอีก 5 ชม. เพียงเพื่อให้ตัวเองดูยุ่งหรือรู้สึกมีผลิตภาพ การไม่ทำอะไรที่ไม่คุ้มค่าพอให้ทำ คือวิธีใช้เวลาอันแสนวิเศษ
5.การทำงานที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่การทำงานทุกเมื่อที่ถูกเรียกใช้ แต่เป็นการทำในสิ่งที่คุณบอกว่าจะทำ ทำงานในแต่ละวันให้ดี เคารพในงาน เคารพลูกค้า เคารพในเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่สิ้นเปลืองเวลาสร้างงานให้คนอื่นโดยไม่จำเป็น การทำงานคือการเป็นคนดีในเรื่องที่สำคัญที่คนอื่นพึ่งพาได้และยินดีร่วมงานด้วย
6.แล้วจะประสบความสำเร็จได้ยังไง ถ้าไม่ทำงานหนักกว่าคนอื่น ? คนเราจะประสบความสำเร็จได้ก็เพราะมีความสามารถ โชคดี อยู่ถูกที่ถูกเวลา รู้วิธีทำงานกับคนอื่น รู้รายละเอียดส่วนไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ และรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะได้รับโอกาส
7.Office ทุกวันนี้กลายเป็นโรงงานผลิตเครื่องขัดจังหวะที่ที่เราจะถูกกวนใจ คำถาม หรือการสนทนาของผู้อื่น เป็นแหล่งที่ให้ใครๆถามความเห็น ซักไซ้ ดึงเข้าประชุม จากนั้นก็ประชุมเรื่องที่เคยประชุมไปแล้ว เราจะคาดหวังให้ใครทำงานเสร็จได้ในวภาวะแวดล้อมแบบนั้น
8.คนไม่ได้ทำงานหนักขึ้น ดึกขึ้น เพราะจู่ๆมีงานเพิ่มขึ้น แต่คนทำงานนานขึ้น ดึกขึ้น เพราะทำงานไม่เสร็จในเวลางานต่างหาก
9.บริษัทไม่ใช่ครอบครัว เมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัทพวกเราเหมือนครอบครัว นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะปกป้องหรือรักเราแบบในครอบครัว แต่หมายถึงให้เราเสียสละเหมือนคนในครอบครัวของเราเองต่างหาก คือเพื่อให้เราทุ่มเทเต็มที่ เต็มใจทำทุกอย่าง จนลืมผลประโยชน์อันควรของตัวเอง
10.บริษัทที่ดีที่สุดไม่ใช่ครอบครัว แต่คือผู้สนับสนุนครอบครัว พวกเขาจะจัดเตรียมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เติมเต็มและพรั่งพร้อม เพื่อที่ว่า เมื่อคนทำงานปิด Laptop ในเวลาอันสมควร พวกเขาจะได้เป็นสามี ภรรยา พ่อแม่ พี่น้อง และลูกที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
11.คนที่โอ้อวดว่ายอดอดนอนเพื่อลุยงานดึกดื่นมักเป็นคนที่ไม่เข้าใจความสำเร็จอย่างแท้จริง การอดนอน ทำให้หมดแรง ทำลาย IQ และลดทอนความคิดสร้างสรรค์ ความอดทน ความเข้าใจก็ถดถอย ทำให้เรื่องเล็กน้อยกลายเป็นเรื่อง Drama ใหญ่โต
12.อย่าเสียสละตัวเอง สุขภาพ และความสามารถในการทำงานเพียงเพื่อพิสูจน์ความทุ่มเท ความจงรักภักดีต่อบริษัท มันไม่คุ้มค่าที่จะบีบคั้นตัวเองขนาดนั้น
13.เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเข้าหรือออกจากทีม นั่นแปลว่าทีมเก่าหายไปแล้ว กลายเป็นทีมใหม่แทน การเปลี่ยนตัวบุคคลย่อมเปลี่ยนรูปแบบของทีมไปด้วย
14.คุณต้องเป็นคนดี คนที่ใครๆก็อยากทำงานด้วยไม่ใช่แค่ใครสักคนที่เขาพอทนได้ เราทำงานเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ ถ้าเรางี่เง่าก็ไม่มีทางชดเชยในเรื่องนี้ได้
15.งานที่ต้องทำเพื่อให้ Project เสร็จ ควรจะลดน้อยไปตามเวลา ไม่ใช่งอกเงยขึ้น เส้นตาย (Deadline) ควรใกล้เข้ามาให้ใจชื้นไม่ใช่เข้ามาให้หวาดหวั่น
16.รู้จัก"ไม่"เสียบ้าง "ไม่"คือปฏิเสธสิ่งหนึ่ง "ได้"คือปฏิเสธพันสิ่ง เมื่อเราปฏิเสธตอนนี้ เรากลับมาใหม่และตอบรับทีหลังได้ แต่ถ้าเราตอบรับตอนนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธทีหลัง












