รู้เท่าทัน! ยาแก้ปวดที่คุณใช้บ่อย อาจทำลายอวัยวะสำคัญโดยไม่รู้ตัว
คำเตือนจากวงการแพทย์: ยาแก้ปวดที่ใช้กันเป็นประจำ มีผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่าที่คิด อาจนำไปสู่โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย และถึงขั้นเสียชีวิตได้หากใช้โดยไม่ระวัง
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่ข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับยาแก้ปวด โดยระบุว่ายาแก้ปวดบางกลุ่มนอกจากจะส่งผลกระทบต่อกระเพาะอาหารและไตแล้ว ยังมีพิษต่อหัวใจและสมองอีกด้วย
ยาแก้ปวดที่กล่าวถึง คือกลุ่มที่เรียกว่า NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) ซึ่งเป็นยาที่คนทั่วไปนิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด ไม่ว่าจะเป็นปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน ฯลฯ ยาเหล่านี้มักใช้กันอย่างแพร่หลาย และหลายคนใช้เป็นประจำโดยไม่ทราบถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่
ผลข้างเคียงที่ควรรู้เกี่ยวกับยาแก้ปวด NSAIDs:
กระเพาะอาหาร: ทำให้เกิดแผลหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้
ไต: เสี่ยงไตวาย ต้องล้างไตหรือต้องฟอกเลือด
หัวใจ: เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
สมอง: เพิ่มความเสี่ยงของอัมพฤกษ์หรืออัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบ
ความดันโลหิต: มีผลต่อการขยายและหดตัวของหลอดเลือด รวมถึงการเก็บขับน้ำและเกลือแร่
รายงานจากต่างประเทศยืนยันอันตราย
ในปี ค.ศ. 2011 วารสาร British Medical Journal ได้เผยแพร่การศึกษาจากมหาวิทยาลัย Bern ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วย 116,429 ราย พบว่าการใช้ยา NSAIDs หลายตัวมีความเสี่ยงสูงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะยาในกลุ่ม COX-2 Inhibitor เช่น:
Etoricoxib (Arcoxia): เสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงถึง 4.07 เท่า
Diclofenac (Voltaren): เสี่ยงสูงรองลงมา 3.98 เท่า
Ibuprofen (Brufen): เสี่ยงต่ออัมพฤกษ์ 3.36 เท่า
Celecoxib (Celebrex), Naproxen (Naprosyn) และอื่นๆ ก็พบว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน
แม้ยาบางตัวจะถูกถอนออกจากตลาดแล้ว เช่น Rofecoxib (Vioxx) แต่ยังมีอีกหลายตัวที่ยังคงวางขายในประเทศไทย และสามารถหาซื้อได้ทั่วไป
ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้ปวด
1. หลีกเลี่ยงการใช้โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
2. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง ก่อนใช้ยา เพื่อตรวจสอบการซ้ำซ้อนกับยาที่ใช้อยู่
3. อย่าซื้อยากินเองบ่อย ๆ แม้เป็นยาเดิมที่เคยใช้ได้ผล เพราะอันตรายอาจสะสมได้
4. ติดตามอาการข้างเคียง เช่น ปวดท้องผิดปกติ บวม เท้า ใจสั่น หรือเวียนศีรษะ
สรุป
ยาแก้ปวดไม่ได้เป็นแค่ “ยาบรรเทาอาการ” เท่านั้น แต่ยังมีฤทธิ์ที่ส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรุนแรง หากใช้ผิดวิธีหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนใช้ และควรได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์เสมอ
"เมื่อคิดจะใช้ยาแก้ปวด จงนึกถึง ICU ไว้ด้วย" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑากล่าว
หากท่านมีประสบการณ์หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกันได้ในช่องความคิดเห็นนะคะ เพื่อให้ทุกคนได้รู้เท่าทันและใช้อย่างปลอดภัย













