ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกขานว่า “ศาลโลก” นั้น เป็นองค์กรตุลาการระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติ (United Nations) จัดตั้งขึ้นตามกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2488 และเริ่มดำเนินงานในปีถัดมา โดยมีสำนักงานใหญ่ประจำอยู่ที่พระราชวังสันติภาพ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ศาลแห่งนี้มีฐานะเป็นองค์กรหลักด้านตุลาการของสหประชาชาติ ทำหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างรัฐต่าง ๆ ที่ตกลงยินยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการให้ความเห็นทางกฎหมายต่อองค์การของสหประชาชาติที่ร้องขอ อาทิ สมัชชาใหญ่ หรือคณะมนตรีความมั่นคง คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดีนั้น ๆ และไม่มีผลบังคับใช้ทั่วไป เว้นแต่จะได้รับการรับรองจากคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งสามารถออกมาตรการบังคับหากฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
องค์ประกอบของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน 15 คนซึ่งได้รับเลือกโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ร่วมกันลงคะแนนเลือกให้ดำรงตำแหน่งวาระละ 9 ปี โดยต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติสูงทางวิชาชีพกฎหมายและมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดี ทั้งนี้ต้องไม่มีผู้พิพากษามาจากประเทศเดียวกันมากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน
หน้าที่ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น 2 ประการหลัก คือ (1) การพิจารณาคดีพิพาทระหว่างรัฐ ซึ่งต้องอาศัยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายในการเข้าสู่กระบวนการ และ (2) การให้ความเห็นทางกฎหมายในลักษณะคำปรึกษา (Advisory Opinion) ซึ่งมิใช่คำพิพากษาที่มีผลผูกพัน แต่มีน้ำหนักทางจริยธรรมและการเมืองในระดับระหว่างประเทศ
หนึ่งในคดีที่เป็นที่รู้จักของประชาชนไทยอย่างกว้างขวาง คือ คดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเกิดขึ้นจากข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาให้กัมพูชาเป็นผู้มีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร และต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ศาลได้ตีความเพิ่มเติมโดยชี้ชัดว่าพื้นที่รอบตัวปราสาทในบริเวณใกล้เคียงก็อยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาเช่นกัน คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทตามมติของศาลโลก
แม้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศผ่านหลักนิติธรรม แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่สำคัญ อาทิ การที่ศาลไม่มีอำนาจบังคับให้รัฐใดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี หากรัฐนั้นไม่ยินยอม อีกทั้งหากรัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยลำพัง แต่ต้องพึ่งพาคณะมนตรีความมั่นคงในการใช้มาตรการบังคับ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจภายในคณะมนตรี
นอกจากนี้ ยังมีความเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กับศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) โดยประชาชนมักเข้าใจว่าสององค์กรนี้มีหน้าที่เหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นมีหน้าที่ฟ้องร้องและลงโทษบุคคลที่กระทำความผิดร้ายแรง เช่น อาชญากรรมสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ขณะที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับพิจารณาคดีที่คู่ความเป็น “รัฐ” เท่านั้น และมิได้มีอำนาจลงโทษบุคคลใดโดยตรง
ในโลกยุคใหม่ที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจกลายเป็นความรุนแรงที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดน การมีอยู่ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจึงเป็นเสมือนกลไกสำคัญในการถ่วงดุลอำนาจ สร้างเวทีสำหรับการแสวงหาความยุติธรรมโดยสันติ และรักษาหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศให้ดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของระบบโลก


















