ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวช่วยอะไรบ้าง รู้ก่อนตัดสินใจทำ
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ช่วยอะไรบ้าง รู้ก่อนตัดสินใจทำ
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว หัตถการยอดนิยมที่คนรุ่นใหม่เลือก เพื่อช่วยรักษาหลุมสิวให้ดูตื้นขึ้น ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน
หนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่พบได้บ่อยและสร้างความกังวลใจไม่น้อย คือ “หลุมสิว” ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบของสิวที่ทิ้งรอยลึกไว้บนผิว ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน ขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อแต่งหน้าแล้วผิวยิ่งไม่เรียบเสมอ ปัจจุบันมีนวัตกรรมหลายรูปแบบที่ใช้ฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูดีขึ้น และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนี้คือ การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวอย่างละเอียด ทั้งหลักการทำงาน ประเภทฟิลเลอร์ ข้อดี ข้อควรระวัง ตลอดจนเปรียบเทียบกับการทำเลเซอร์ พร้อมคำแนะนำการเตรียมตัวและดูแลหลังทำ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดกับตัวเอง
หลุมสิวคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
หลุมสิวเกิดจากกระบวนการอักเสบรุนแรงของสิวในชั้นผิวหนัง ส่งผลให้คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวถูกทำลาย เมื่อสิวหาย ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้สมบูรณ์ จึงทิ้งร่องรอยบุ๋มลึกบนผิว ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- Boxcar Scar หลุมสิวที่มีขอบชัด ลึก และมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม
- Rolling Scar หลุมสิวลักษณะโค้งมน พื้นที่กว้าง มักเกิดบนแก้ม
- Ice Pick Scar หลุมลึกแคบ คล้ายรอยเจาะ มักรักษาได้ยากที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว คืออะไร
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่นำมาใช้ฉีดใต้ผิวบริเวณหลุมสิวเพื่อยกพื้นผิวให้เรียบขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้รักษาหลุมสิวคือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย มีคุณสมบัติช่วยอุ้มน้ำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้รอยหลุม ผิวบริเวณนั้นจะถูกยกขึ้นจนใกล้เคียงระดับผิวโดยรอบ ส่งผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นทันที
ประเภทของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
1. ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว Hyaluronic Acid (HA)
- เติมเต็มร่องลึกได้รวดเร็ว เห็นผลทันทีหลังทำ
- ปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายสามารถยอมรับได้
- อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
- หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถสลายออกได้ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase
2. ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ชนิดกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen-Stimulating Fillers)
- เช่น Poly-L-lactic Acid (PLLA) และ Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
- เน้นฟื้นฟูสภาพผิวในระยะยาว
- เหมาะกับหลุมสิวลึกและกว้างมาก
- ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน
จุดเด่นของการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเห็นผลทันที หลังการฉีด ผิวจะเรียบขึ้นแบบชัดเจน
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวไม่ต้องพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวปลอดภัย เมื่อทำโดยแพทย์
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวสามารถแก้ไขได้ หากไม่พอใจผลลัพธ์
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่มีสะเก็ด
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวกระตุ้นผิวในระยะยาว ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- ผู้ที่มีหลุมสิวลึกขนาดกลางถึงลึกมาก โดยเฉพาะแบบ Boxcar และ Rolling Scar
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าเร่งด่วน เช่น ก่อนออกงาน
- คนที่ไม่สะดวกพักฟื้นนานจากหัตถการอื่น ๆ
- ผู้ที่ต้องการวิธีที่ไม่ถาวร สามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต
- ผู้ที่ไม่มีภาวะอักเสบบนใบหน้า ไม่มีประวัติแพ้ฟิลเลอร์ หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง
ใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- ผู้ที่มีสิวอักเสบ แผลเปิด หรือผิวหนังติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่แพ้ Hyaluronic Acid หรือยาชาเฉพาะที่
- ผู้ที่มีโรคทางภูมิคุ้มกัน เช่น SLE, โรคลูปัส
- ผู้ที่เคยฉีดสารเติมเต็มถาวรหรือฟิลเลอร์ปลอม
ตำแหน่งที่นิยมฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- แก้ม พบบ่อยที่สุด เห็นผลชัดเจน ช่วยปรับรูปหน้า
- ขมับ แก้ไขผิวที่ดูโทรม เติมเต็มความเรียบเนียน
- หน้าผาก หลุมสิวบริเวณนี้มักเป็นตื้น เหมาะกับ HA
- คาง เติมหลุมและช่วยเสริมความสมดุลของรูปหน้า
- ร่องแก้ม ฟื้นฟูผิวให้เนียนตึงอย่างเป็นธรรมชาติ
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการรักษาหลุมสิว
ขึ้นอยู่กับลักษณะหลุมสิวแต่ละราย โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ
- หลุมสิวเล็กหรือไม่ลึกมาก 0.5 – 1 CC
- หลุมสิวลึกหรือหลายจุด อาจใช้ตั้งแต่ 2 CC ขึ้นไป
ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับจำนวน จุดที่ต้องการรักษา และการวางแผนของแพทย์
ความถี่ในการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำ
โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวซ้ำทุก 8–12 เดือน หรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่าผลลัพธ์ลดลง ขึ้นอยู่กับการดูแลผิว อายุ และพฤติกรรมของแต่ละคน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายหนัก อาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น
ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- เลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตและมีรีวิวดี
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินผิวและวางแผนการฉีด
- งดใช้ยาละลายลิ่มเลือด วิตามินอี โสม น้ำมันปลา อย่างน้อย 5-7 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ก่อนทำ 1-2 วัน
- หลีกเลี่ยงหัตถการอื่น เช่น เลเซอร์ ก่อนทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- หลีกเลี่ยงการจับหรือกดจุดที่ฉีดภายใน 48 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้าหนัก 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ เลเซอร์ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 2 วันแรก
- ดื่มน้ำมาก ๆ และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง หรือมีตุ่มแข็ง ควรพบแพทย์ทันที
ความเสี่ยงที่อาจพบหลังฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
อาการทั่วไปที่พบได้
- บวม ช้ำบริเวณที่ฉีด
- รู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อย
- ผิวแดงเป็นจุดเฉพาะจุด
ผลข้างเคียงที่ควรระวัง
- ก้อนแข็ง หรือผิวไม่เรียบ
- การติดเชื้อ
- ภาวะเส้นเลือดอุดตัน (พบได้น้อยมากแต่ร้ายแรง)
การเลือกฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมาก
เปรียบเทียบ ฉีดฟิลเลอร์ vs เลเซอร์หลุมสิว
คุณสมบัติ |
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว |
เลเซอร์หลุมสิว |
เห็นผลทันที |
ใช่ |
ไม่ใช่ (ใช้เวลาหลายสัปดาห์) |
พักฟื้น |
น้อย |
อาจมีสะเก็ดผิว 3–7 วัน |
เหมาะกับหลุมสิว |
ลึก ขอบชัด |
ตื้น หลายจุด |
ความเจ็บ |
น้อย |
ปานกลางถึงมาก |
ต้องทำซ้ำ |
8–12 เดือน |
หลายครั้ง ห่างกัน 1 เดือน |
บทสรุปการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
สรุปว่า การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิวเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว เห็นผลชัดเจน เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด และต้องการผิวหน้าที่เรียบเนียนในทันที ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid ได้รับความนิยมฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เพราะปลอดภัย สลายได้เอง และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกทำกับแพทย์ในคลินิกที่น่าเชื่อถือ พร้อมศึกษาข้อมูลการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว อย่างรอบด้าน เตรียมตัวก่อนและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมหลังทำ เพื่อให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ













