เชอร์โนบิล โศกนาฏกรรมนิวเคลียร์ที่โลกต้องจดจำ
ต้นกำเนิดและหลักการทำงาน
แม้หลายคนจะนึกถึงรัสเซียเมื่อพูดถึงเชอร์โนบิล แต่เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นผลพวงจากโครงการแมนฮัตตันที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หลักการทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คือการใช้พลังงานความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์เพื่อต้มน้ำ ผลิตไอน้ำแรงดันสูงไปหมุนกังหันและผลิตไฟฟ้า พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นมหาศาล จึงจำเป็นต้องมีระบบหล่อเย็นเพื่อควบคุมอุณหภูมิ
การระเบิดครั้งประวัติศาสตร์
เหตุการณ์เชอร์โนบิลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 1986 เวลา 01:23 น. ที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์วลาดิมีร์ อิลลิช เลนิน หรือที่รู้จักกันในชื่อโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศยูเครน (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) ขณะทดสอบระบบเตาปฏิกรณ์ เกิดเหตุขัดข้องที่ทำให้พลังงานความร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าระบบหล่อเย็นจะควบคุมได้ แรงดันไอน้ำที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ เตาปฏิกรณ์เป็นรูและสารกัมมันตรังสีจำนวนมหาศาลรั่วไหลออกมา ซึ่งมีปริมาณมากกว่าระเบิดที่ฮิโรชิมาถึงร้อยเท่า หลังการระเบิด ไฟยังคงไหม้ต่อเนื่องถึงเก้าวัน
ผลกระทบและการปกปิดข้อมูล
ผลกระทบที่เกิดขึ้นรุนแรงและรวดเร็ว พนักงานโรงไฟฟ้าเสียชีวิตทันที 2 คน และอีก 1 คนเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและพนักงานที่เข้าไปควบคุมสถานการณ์ก็ทยอยเสียชีวิตในเวลาต่อมา รวมแล้วประมาณ 31 คนในระยะเวลาอันสั้น ฝุ่นกัมมันตรังสีได้กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบและไกลออกไปถึงชายฝั่งสหรัฐอเมริกา
ในช่วง 36 ชั่วโมงแรก หลังเกิดเหตุ ทางการโซเวียตไม่ได้แจ้งหรือบอกอะไรทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีการอพยพประชาชน โดยเฉพาะชาวเมือง Pripyat ซึ่งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าที่สุด และรับรังสีกัมมันตรังสีไปเต็ม ๆ สุดท้ายมีการอพยพประชาชนกว่า 335,000 คน ออกจากพื้นที่ แต่ก็ยังไม่เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของการอพยพ
การปิดข่าวของโซเวียตดำเนินไปประมาณสองวันจนกระทั่งวันที่ 28 เมษายน สวีเดนซึ่งตรวจจับสารกัมมันตรังสีที่ลอยไปถึงประเทศได้ กดดันให้โซเวียตออกมายอมรับความจริง แต่โซเวียตก็ยังคงให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน กว่าจะเตือนประชาชนในเมืองข้างเคียงอย่างเคียฟว่าควรอยู่ในบ้านก็ผ่านไปแล้วสิบวัน ทำให้ผู้คนได้รับรังสีไปอย่างเต็มที่
การจัดการและการฟื้นฟู
โซเวียตจัดการสถานการณ์ด้วยการสร้างอาคาร Sarcophagus ครอบเตาปฏิกรณ์ที่ 4 เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการปิดพื้นที่ 30 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าห้ามเข้าออก อย่างไรก็ตาม โซเวียตกลับไปเปิดเตาปฏิกรณ์อีกสามเตาที่เหลือในเวลาต่อมา ก่อนที่จะต้องทยอยปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาและแรงกดดันจากนานาชาติ
ปัจจุบัน ยูเครน ยังคงมีภาระในการดูแลเชอร์โนบิล โดยในปี 2017 มีการสร้างอาคารครอบ Sarcophagus หลังใหม่ คาดว่าจะใช้งานได้อีก 100 ปี นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าต้องใช้เวลาถึง 20,000 ปี กว่าระดับกัมมันตรังสีในบริเวณนั้นจะลดลงจนปลอดภัยสำหรับมนุษย์ แม้ว่าบางงานวิจัยล่าสุดจะชี้ว่าผลกระทบระยะยาวของกัมมันตรังสีอาจไม่รุนแรงเท่าที่เคยเชื่อกัน และมีผู้คนจำนวนหนึ่งกลับเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ปิดตายแห่งนี้
เชอร์โนบิล ได้ถูกเปิดให้เที่ยวชมแบบมีข้อจำกัดตั้งแต่ปี 2011 โดยมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่โลกต้องจดจำเกี่ยวกับอันตรายของพลังงานนิวเคลียร์และความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

















