ต้นตอแห่งการเหยียดเชื้อชาติในอเมริกา เรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่
ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสีผิว แต่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์อันยาวนาน สหรัฐฯ ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ กลับมีบาดแผลจากการเลือกปฏิบัติต่อผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและชนชั้นมาอย่างต่อเนื่อง
จุดเริ่มต้นของปัญหานี้อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เมื่อชาวยุโรปผิวขาว โดยเฉพาะกลุ่มโปรเตสแตนต์ (เพียวริตัน) อพยพมายังทวีปอเมริกาซึ่งมี ชนพื้นเมือง อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ชาวยุโรปมองชนพื้นเมืองที่มีสีผิวและวัฒนธรรมต่างกันว่า "คนนอกรีต" ซึ่งนำไปสู่การขับไล่และยึดครองดินแดน นอกจากนี้ การขาดแคลนแรงงานยังนำไปสู่การนำเข้า ทาสจากแอฟริกา ซึ่งถูกปฏิบัติอย่างทารุณและไร้สิทธิ กฎหมายในยุคนั้น เช่น Naturalization Act of 1790 ยังระบุให้เฉพาะ "Free White Person" เท่านั้นที่สามารถเป็นพลเมืองอเมริกันได้ ตอกย้ำความไม่เท่าเทียมตั้งแต่รากฐาน
เมื่อสหรัฐฯ ขยายอาณาเขตในศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันผิวขาวต้องการพื้นที่ทำกินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งกับชนพื้นเมือง และนำไปสู่การบังคับให้ชนพื้นเมืองย้ายไปอยู่ใน "เขตสงวนอินเดียน" ขณะเดียวกัน การอพยพของกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ เช่น ชาวเม็กซิกัน ชาวจีน และชาวไอริช ก็เผชิญกับการเหยียดหยาม ชาวเม็กซิกันถูกกล่าวหาว่าแย่งงานและทำให้ค่าแรงลดลง ชาวจีนถูกมองว่าเป็น "Yellow Peril" หรือ "ภยันตรายสีเหลือง" และชาวไอริชแม้จะเป็นคนผิวขาว แต่ก็ถูกเหยียดหยามจากความยากจน การดื่มเหล้า และการนับถือนิกายคาทอลิก ความขัดแย้งเหล่านี้ปะทุขึ้นใน สงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งแม้จะจบลงด้วยการเลิกทาส แต่ก็ก่อให้เกิดกลุ่มเหยียดผิวอย่าง Ku Klux Klan (KKK) ที่กระทำการรุนแรงต่อคนผิวสี
ในยุค "Gilded Age" ปลายศตวรรษที่ 19 แม้เศรษฐกิจจะเติบโต แต่ความเจริญก็กระจุกตัวอยู่กับคนผิวขาวบางกลุ่ม ทำให้คนต่างชาติยังคงตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ สงครามโลกทั้งสองครั้งยิ่งซ้ำเติมปัญหา โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่อพยพมายังสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นสายลับและถูกกักกันในค่ายพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความเท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อภาพลักษณ์ของนาซีเยอรมนีสะท้อนถึงความเลวร้ายของการเหยียดผิว ประกอบกับการสร้างภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำโลกเสรีในช่วงสงครามเย็น จึงมีการผลักดันกฎหมายและนโยบายเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม การเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ เช่น การเรียกร้องสิทธิพลเมืองของคนผิวสี นำโดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้ปลุกกระแสให้สังคมตระหนักถึงปัญหามากขึ้น จนนำไปสู่การออกกฎหมายห้ามการเหยียดเชื้อชาติและสีผิว ทำให้คนทุกกลุ่มได้รับสิทธิพลเมืองเท่าเทียมกันมากขึ้น
แม้กฎหมายจะรับรองความเท่าเทียมแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ อคติและการเหยียดเชื้อชาติ ยังคงมีอยู่ ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ Black Lives Matter หรือการเหยียดชาวเอเชียในช่วงโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นบาดแผลในสังคมอเมริกัน ซึ่งเป็นผลพวงจากความกลัวและความไม่มั่นคงที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์ และยังคงต้องการความพยายามในการเยียวยาต่อไป



