แม้ชาตินี้เกิดแบบอัตคัดขัดสน แต่หากตัญญูกตเวที ไม่ช้าก็เร็วจะได้สบาย
การท่องเที่ยวเกิดตาย
แบบไร้ต้นไร้ปลายในสังสารวัฏนี้
มีทั้งรอบขึ้นและรอบลง
ไม่ต่างจากน้ำขึ้นน้ำลง
ไม่มีใครเสวยสวรรค์ชั่วนิรันดร์
ไม่มีใครดิ่งนรกไม่รู้จักผุดจักเกิด
เครื่องหมายของรอบขาขึ้น
ได้แก่ การเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณคน
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ความเป็นคนกตัญญูกตเวที
เป็นภูมิสัตบุรุษ
(อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต)
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ความกตัญญูรู้คุณคน
ในความหมายแบบที่มีจิตสำนึกจริงๆนั้น
ไม่ได้มุ่งเอาเฉพาะการตอบแทนพ่อแม่
แต่ยังหมายเอาการจดจำได้ว่า
ใครบ้างที่ดีกับตน
ใครบ้างที่ช่วยเหลือตน
ใครบ้างที่เลี้ยงดูตน
ซึ่งเมื่อมีจิตสำนึกรู้คุณคน
ความอยากตอบแทนคุณก็จะตามมาเอง
แม้เพียงเล็กน้อย
เช่น พูดถึงผู้มีพระคุณในทางดี
ไม่เอาเรื่องไม่ดีไปก่นด่าโพนทะนา
ถ้าสังเกต คุณจะพบว่า
จิตสำนึกชนิดนั้น
จะลากพานิสัยอีกหลายประการตามมาด้วย
เช่น ความรู้จักเกรงใจ หรือถึงขั้นขี้เกรงใจ
ความอยากเป็นฝ่ายช่วยเหลือก่อน
ความอยากมีใจซื่อกับคู่ครอง ฯลฯ
ดูเหมือนเรื่องน่าจะง่ายๆแค่นั้น รู้ๆกันอยู่
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ที่คนเราจะไปถึงจุดที่เกิดจิตสำนึกแบบคนดี
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถึงแม้ชาตินี้
ต้องเกิดแบบอัตคัดขัดสน
ยากจน ไร้บ้าน ไร้การยอมรับ
แต่หากแสดงความรู้คุณคน
ด้วยกาย วาจา ใจ
ไม่ลืมพ่อแม่
ไม่ลืมคนยื่นมือช่วยเหลือ
ก็ย่อมเป็นนิมิตหมายของคนดี
คนที่สามารถทำคุณงามความดีอื่นๆได้ไม่จำกัด
ซึ่งนั่นหมายความว่า
ไม่ช้าก็เร็ว
ไม่ระหว่างมีชีวิตก็หลังตาย
เขากำลังจะได้สบาย
พ้นความลำบากยากเข็ญไป
บาปเก่าในชาติก่อน
ที่ให้ผลเป็นความเดือดร้อนในชาตินี้
กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดกุศลกรรม
ตกต่ำแล้วไม่กระแทกพื้น
แต่กลับเชิดหัวขึ้นฟ้าไปแทน!















