สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า และการเดินทางสู่ความเข้าใจจักรวาล
สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ท้าทายขีดจำกัดทั้งทางร่างกายและสติปัญญา ได้จากโลกนี้ไปในปี 2018 ด้วยวัย 76 ปี ผู้ที่ถูกเปรียบเทียบกับกาลิเลโอในแง่ของการปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ ฮอว์คิงเติบโตในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความรู้และเหตุผล ทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแน่วแน่ แม้ว่าภรรยาคนแรกของเขาจะเป็นคริสเตียนที่ศรัทธา
ชีวิตของฮอว์คิงพลิกผันเมื่อเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ALS ในวัย 21 ปี ซึ่งแพทย์คาดการณ์ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี แต่ด้วยกำลังใจจากเจน ไวลด์ ภรรยาของเขา ฮอว์คิงกลับมีชีวิตที่ยืนยาวและสร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์อันโดดเด่นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีเกี่ยวกับหลุมดำ เช่น ทฤษฎีเอกฐานเพนโรส-ฮอว์คิง และการแผ่รังสีฮอว์คิง ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกลศาสตร์ควอนตัมเข้ากับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
แม้จะไม่ได้รับรางวัลโนเบล แต่ฮอว์คิงได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ลูเคเซียนอันทรงเกียรติ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์ยอดนิยม เช่น "ประวัติย่อของกาลเวลา" ที่ทำให้วิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนเข้าถึงคนทั่วไปได้มากขึ้น หนังสือของเขาขายดีถล่มทลายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
ชีวิตส่วนตัวของฮอว์คิงต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน การแต่งงานครั้งแรกกับเจนจบลงด้วยการหย่าร้าง และต่อมาเขาได้แต่งงานใหม่กับอีเลน เมสัน ซึ่งต่อมาก็หย่าร้างกันไป แต่ความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเจนยังคงอยู่จนกระทั่งเขาเสียชีวิต
ในด้านความเชื่อ ฮอว์คิงเป็นผู้เสนอการกำหนดทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน เขายืนยันว่าจักรวาลสามารถเกิดขึ้นเองได้ตามกฎทางธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง เขามองว่าแนวคิดเรื่องพระเจ้าไม่สอดคล้องกับความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการกำเนิดจักรวาลจากความว่างเปล่าและหลักการทรงพลังงาน
ในช่วงบั้นปลายชีวิต ฮอว์คิงยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติ โดยเตือนถึงภัยคุกคามต่างๆ และเสนอให้มีการตั้งอาณานิคมในอวกาศเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เขายังมีทั้งความหวังและความกังวลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการแก้ไขยีน
สตีเฟน ฮอว์คิงได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ให้กับโลก ไม่เพียงแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนนับล้านให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับจักรวาลและแสวงหาความรู้ต่อไป จิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อและความมุ่งมั่นของเขาจะยังคงเป็นแรงผลักดันให้มนุษยชาติสำรวจความลึกลับของจักรวาลต่อไปอีกนานแสนนาน



















