“หากพระภิกษุบวชใหม่ยังมีความกำหนัดและเผลอช่วยตัวเอง ถือว่าผิดพระวินัยหรือไม่?”
ในสังคมไทยซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก การครองเพศบรรพชิตหรือการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ย่อมเป็นที่คาดหวังว่าผู้ครองเพศสมณะจะประพฤติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย ด้วยความสำรวม กาย วาจา ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความประพฤติทางเพศ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการดำรงตนเป็นนักบวช
คำถามหนึ่งที่มักเกิดขึ้นทั้งในหมู่ชาวบ้านและผู้สนใจธรรมะคือ
“หากพระภิกษุบวชใหม่ยังมีความกำหนัดและเผลอช่วยตัวเอง ถือว่าผิดพระวินัยหรือไม่?”
คำตอบในทางพระธรรมวินัย
พระธรรมวินัยระบุชัดในข้อปาราชิก ซึ่งเป็นอาบัติเบื้องหนัก ว่าหากพระภิกษุประพฤติล่วงละเมิดในกามกับมนุษย์หรือสัตว์ ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระโดยทันที
แต่ในกรณี "การช่วยตัวเอง" (อัตตจินตา) หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้น พระวินัยไม่ได้ระบุว่าเป็นปาราชิก แต่ถือเป็น อาบัติตัณหา ซึ่งเข้าข่ายอาบัติประเภท “ทุพภาสิต” หรือในบางกรณีอาจเข้าข่าย “อาบัติสังฆาทิเสส” หากมีการเจตนาและพฤติกรรมที่ใกล้เคียงการแสดงออกทางเพศอย่างโจ่งแจ้งหรือยั่วยุผู้อื่น
โดยเฉพาะในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ (ในพระปาติโมกข์) ระบุไว้ว่า "ภิกษุไม่พึงสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ไม่พึงประพฤติล่วงธรรมในทางกามคุณ แม้เพียงคิดก็ควรละ"
แม้พระบวชใหม่จะยังไม่สามารถระงับกิเลสได้ทั้งหมด แต่การพยายามประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด เป็นหัวใจสำคัญของการบวช เพื่อฝึกจิตให้สงบ ละวางจากโลกียวิสัย
หากมีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้น พระอาจารย์มักจะแนะนำให้ใช้วิธีดังนี้
เจริญอสุภกรรมฐาน (พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง)
เปลี่ยนอิริยาบถ ฝึกสติปัฏฐาน
หลีกเลี่ยงสื่อ ยั่วยุ และการอยู่ตามลำพัง
สรุป
การช่วยตัวเองในเพศบรรพชิต แม้ไม่ถึงขั้นอาบัติปาราชิก แต่ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และผิดพระวินัยในระดับรองลงมา มีผลต่อสมณสารูปและศรัทธาของญาติโยม อาจนำไปสู่การตักเตือน การสึก หรือแม้แต่การแสดงอาบัติเพื่อชำระศีลในหมู่สงฆ์
พระภิกษุที่ยังไม่สามารถควบคุมจิตใจและกายได้ ควรเปิดใจกับพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำ มิใช่ปิดบังไว้ เพราะการบวชคือการฝึกตน มิใช่เพียงการแต่งกายหรือสถานะภายนอก









