ความหมายของการเลี้ยงส่ง "จากผู้ส่ง...สู่ผู้ถูกร่ำลา"

ในบทความนี้ผมจะขอยกเอาประเด็นของ "ประเพณีการเลี้ยงส่ง" มาบอกเล่าผ่านประสบการณ์ของผมเองครับ จากการเลี้ยงส่งเพื่อนร่วมงานจนกระทั่งวันหนึ่งผมได้กลายมาเป็นผู้ถูกร่ำราเสียเอง แต่การที่จะทำให้คนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้รับรู้และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นอย่างแท้จริง ก่อนอื่นเราต้องรู้ความหมายของการเลี้ยงส่งเสียก่อนครับ
"ประเพณีการเลี้ยงส่ง" คือกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความรัก ความเคารพ หรือการอำลาต่อบุคคลที่กำลังจะย้ายออกจากกลุ่ม องค์กร หรือสังคม เช่น นักเรียนจบการศึกษา พนักงานลาออก หรือเจ้าหน้าที่เกษียณอายุ ซึ่งถือเป็นการแสดงไมตรีและขอบคุณในช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน
โดยทั่วไป ประเพณีการเลี้ยงส่งในวัฒนธรรมไทยที่ผมได้เคยประสบพบเจอมักจะมีลักษณะคร่าวๆดังนี้ครับ
- การจัดงานเลี้ยง: อาจจะเป็นงานเล็กๆในหมู่เพื่อนร่วมงาน หรือเป็นงานใหญ่ที่มีพิธีการ มีการกล่าวคำอำลา การมอบของขวัญ และรับประทานอาหารร่วมกัน
- การกล่าวคำอำลา: ผู้ที่อยู่ร่วมงานจะกล่าวแสดงความรู้สึกในใจที่มีต่อบุคคลที่กำลังจะจากองค์กรไป การกล่าวขอบคุณ และกล่าวอวยพรให้ผู้ที่กำลังจะไปพบเจอแต่สิ่งดี ๆ
- มอบของที่ระลึก: เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ เช่น อัลบั้มภาพ ของใช้ส่วนตัวพร้อมข้อความ หรือของที่มีความหมายร่วมกัน
- กิจกรรมสร้างความประทับใจ: เช่น การร้องเพลง เล่นละครสั้น หรือฉายวิดีโอความทรงจำ และการถ่ายรูปร่วมกัน
ครั้งหนึ่ง ผมเคยอยู่ในวงเลี้ยงส่งของใครหลายคน และในอีกไม่กี่ปีถัดมา ผมก็เป็นคนที่ต้องนั่งอยู่ตรงจุดนั้น กลายเป็นคนที่กำลังจะไป
ผมยังจำได้ดีถึงครั้งที่ผมได้ร่วมงานเลี้ยงส่งของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง วันนั้นทุกคนรวมตัวกันจัดโต๊ะอาหารอย่างไม่เป็นทางการ มีเสียงหัวเราะ เสียงเพลงเบา ๆ คลอไปกับบรรยากาศเย็น ๆ ตอนค่ำ ผมมองดูผู้ที่กำลังจะไปเดินไปรอบๆวง ทักทาย หยอกล้อกับทุกคน จากนั้นพิธีกรจำเป็นซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมงาน ได้กล่าวเชิญผู้บริหารและหัวหน้าที่มาร่วมงานรวมถึงเพื่อนร่วมงานบางคนขึ้นมากล่าวความในใจด้านหน้า และเชิญผู้ที่กำลังจะไปกล่าวขอบคุณสั้น ๆ (ถึงช่วงกล่าวขอบคุณไม่ว่างานไหนผู้กล่าวน้ำตาคลอทุกงาน) แล้วรับของขวัญที่ทุกคนมอบให้ด้วยความปิติยินดี ช่วงที่กำลังมอบของขวัญก็จะมีเพลงที่สื่อความหมายถึงการจากลาคลอเบาๆ (มีน้ำตาซึม) ก่อนจะถ่ายรูปและรับประทานอาหารร่วมกัน
ตอนนั้นผมคิดว่า "การเลี้ยงส่งมันเป็นเรื่องของคนที่อยู่ข้างหลัง" แต่เมื่อถึงวันที่ผมต้องลุกขึ้นพูดบ้าง ผมถึงได้รู้ว่า มันก็เป็นเรื่องของคนที่กำลังจะไปเหมือนกัน
วันนั้น ผมกำลังจะย้ายไปเริ่มงานที่ใหม่ เป็นก้าวสำคัญในชีวิต แต่พอเดินเข้ามาในห้องอาหารเล็ก ๆ ในร้านใกล้ๆที่ทำงานที่ทุกคนจัดไว้ให้ ผมกลับรู้สึกเหมือนใจหาย โต๊ะอาหารธรรมดา ๆ ที่เคยมานั่งทานอาหารกลางวันกัน ตอนนี้กลายเป็นที่วางของขวัญ การ์ดที่เขียนด้วยลายมือ และข้อความมากมายที่ทำให้ผมยิ้มแล้วก็น้ำตาซึม
ทั้งผู้บริหาร หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานพูดถึงถึงความในใจที่ได้ร่วมงานกับผม เพื่อนๆที่เล่าเรื่องระหว่างที่ได้ร่วมงานกัน กิจกรรมที่เราเคยทำร่วมกัน สิ่งที่ทำให้เราหัวเราะกันจนถึงวันนี้ เพื่อนร่วมงานบางคนยื่นมือมาโอบไหล่ บางคนแค่ยิ้มให้โดยไม่พูดอะไร แต่ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดนั้น
ผมพูดอะไรไม่มาก แค่ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ที่ผมเคยได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ประเพณีการเลี้ยงส่งสำหรับผม มันจึงไม่ใช่แค่การอำลา แต่มันคือการบอกว่า "เราเคยมีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน"
และแม้ใครจะจากไป ความผูกพันเหล่านั้นมันก็ยังอยู่เงียบ ๆ ในใจของทุกคน
แม้ประเพณีเลี้ยงส่งนั้นจะเรียบง่าย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก และมักทิ้งรอยยิ้มหรือหยดน้ำตาไว้เสมอ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบครับ















