Stress Eating เครียดแล้วกินแหลก กินเยอะ เกิดจากอะไร? อาหารที่ทำให้ความเครียดหนักขึ้น เทคนิคแก้ Stress Eating โดยไม่ต้องอด แนะนำ 6 อาหารคลายเครียด วิธีคลายเครียดอื่น ๆ นอกจากการกิน
Stress Eating มีรากฐานมาจากชีววิทยาและการอยู่รอดของมนุษย์ คือ พอเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นความหิว และทำให้เราอยากกินอาหารที่มีแคลอรีสูง โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน คือระบบป้องกันตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อการอยู่รอดในสมัยก่อน
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า 80% ของคนเมือง มีพฤติกรรมกินตามอารมณ์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเครียดจากการทำงาน การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาหารแปรรูปสูง (Ultra-Processed Food) ไม่เพียงแต่เพิ่มน้ำหนัก ยังส่งผลต่อระบบประสาทและฮอร์โมน ทำให้เกิดวงจรเครียด กิน เครียดมากขึ้น กินมากขึ้น ที่ยากจะหลุดออกมา
อาหารที่ทำให้ความเครียดหนักขึ้น
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง ขนมหวาน เบเกอรี และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ให้ความสุขชั่วครู่ แต่นำไปสู่ Sugar Crash ที่ทำให้อารมณ์แย่ลงและเพิ่มความเครียด
- คาเฟอีนมากเกินไป กาแฟจะช่วยให้ตื่นตัว แต่การดื่มมากเกินไปจะกระตุ้นการหลั่งคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นเร็ว วิตกกังวล และนอนไม่หลับ ซึ่งล้วนเพิ่มความเครียด
- อาหารแปรรูปสูง ขนมกรุบกรอบ อาหารจานด่วน อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป มักมีไขมันทรานส์ สารเคมี และโซเดียมสูง ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
- แอลกอฮอล์ ถึงจะรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรก แต่แอลกอฮอล์เป็นสารกดประสาทที่รบกวนการหลับ ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ และเพิ่มความเครียดในวันถัดไป
เทคนิคแก้ Stress Eating โดยไม่ต้องอด
- Mindful Eating ฝึกกินอย่างมีสติ สังเกตความรู้สึกหิวและอิ่มที่แท้จริง แยกแยะระหว่างความหิวทางกาย และความหิวทางใจ ลองถามตัวเองว่า “ฉันหิวจริง ๆ หรือแค่ เครียด / เบื่อ / เศร้า?”
- เตรียมอาหารทางเลือกไว้บรรเทา แทนที่จะห้ามตัวเองกินโดยสิ้นเชิง ลองเตรียมอาหารที่กินแล้วรู้สึกดีไว้ให้พร้อม อย่างเช่น ผลไม้สด ถั่ว โยเกิร์ตธรรมชาติ หรือดาร์กช็อกโกแลต ช่วยตอบสนองความอยากโดยไม่ทำร้ายร่างกาย
- สร้างกิจกรรมทดแทนเมื่อเครียด หากิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดแทนการกิน อย่างเช่น เดินสั้น ๆ 5 นาที ฝึกหายใจลึก ๆ เขียนบันทึก หรือคุยกับเพื่อน การเปลี่ยนเส้นทางความเครียดไปสู่กิจกรรมอื่น จะช่วยตัดวงจร Stress Eating ได้
- ปรับสภาพแวดล้อม จัดบ้าน หรือที่ทำงาน ให้ห่างไกลจากสิ่งยั่วยุ เก็บขนม หรืออาหารขยะ ให้พ้นสายตา แต่วางผลไม้ หรือถั่วไว้ใกล้มือ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมได้โดยอัตโนมัติ
- ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ถ้าพบว่า Stress Eating กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น นักโภชนาการหรือนักจิตวิทยา อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด บางครั้งความเครียดที่รุนแรงต้องการการดูแลเฉพาะทาง
แนะนำ 6 อาหารคลายเครียด ฮีลใจได้ บาลานซ์ด้วย
- ช็อกโกแลต โกโก้มีส่วนประกอบของฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงสมอง และลดระดับฮอร์โมนความเครียดได้ เลือกดาร์กช็อกโกแลตที่มีระดับโกโก้ 70% ขึ้นไป เพื่อเลี่ยงปริมาณน้ำตาล หรือเลือกช็อกโกแลตทั่วไป หรือช็อกโกแลตสอดไส้เวเฟอร์ แต่ควรแบ่งปริมาณการกินให้เหมาะสม
- ไอศกรีม ผลการวิจัยที่ระบุว่า การกินอาหารที่มีอุณหภูมิต่ำ จะช่วยให้คลื่นไฟฟ้าสมองเพิ่มสูงขึ้น ช่วยให้ตื่นตัวและอารมณ์ดี น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงานสำคัญต่อสมอง เวลาเครียด เมื่อได้กินไอศกรีมจะรู้สึกดีขึ้น
- ธัญพืชไม่ขัดสีหรือโฮลเกรน อุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโตฟาน เพื่อช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้มีความสุข อารมณ์ดี ช่วยอิ่มท้อง ช่วยปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายขึ้นได้
- ชาเขียว / ชาดำ มีกรดอะมิโน แอล-ธีอะนิน ที่ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน และโดพามีน ลดฮอร์โมนเครียดอย่างคอร์ติซอล ดื่มเพื่อเติมพลังหลังอาหารมื้อเช้า หรือจิบชาร้อน ๆ สักถ้วยยามบ่าย จะช่วยแก้อาการง่วงนอนระหว่างทำงาน ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวได้เป็นอย่างดี
- ไข่ โดยเฉพาะไข่แดง มีวิตามินบีสูงช่วยให้สมองรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน รวมไปถึงโคลีน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ สามารถพลิกแพลงเป็นเมนูต่าง ๆ ได้หลากหลายในทุกมื้อ อย่างเช่น ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ตุ๋น แกงจืดไข่น้ำ ไข่พะโล้ ข้าวไข่ข้น เป็นต้น
วิธีคลายเครียดอื่น ๆ นอกจากการกิน
- การทำสมาธิ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ เป็นเวลา 5 นาที
- การออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น
- การเขียนไดอารี่ เพื่อระบายความคิด ความในใจ
- การพักผ่อนให้เพียงพอ ด้วยการนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อเติมพลังให้กับสมองและร่างกาย ถือเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดในการคลายเครียด คือ การจัดการกับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดให้ได้นั่นเอง


















