โรคเครียดสะสมเรื้อรัง มีอาการอะไรบ้าง มีวิธีรักษาอย่างไร?
ปัญหาทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว สารพัดสิ่งถาโถมเข้ามาจนแทบจะหายใจหายคอไม่ออก ทำให้หลายคนต้องใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันอย่างต่อเนื่อง จนไม่ทันได้รู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในภาวะความเครียดสะสม แม้ว่าโรคเครียดอาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อมันค่อยๆ สะสมโดยไม่มีทางออก มันสามารถส่งผลกระทบทั้งต่อจิตใจ ร่างกาย และความสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ ในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่เผชิญกับภาวะโรคเครียดโดยไม่รู้ตัว และเมื่อรู้ก็อาจสายเกินแก้แล้ว
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโรคเครียด ทั้งสาเหตุของความเครียด อาการคนเครียดหรือสัญญาณเตือนอื่น ๆ และวิธีดูแลตัวเองก่อนที่ความเครียดจะกลายเป็นภัยเงียบคุกคามจิตใจของคุณ
ทำความรู้จักกับโรคเครียด คืออะไร?
โรคเครียด คือ ภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยความเครียดในระดับหนึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเผชิญ เช่น ความกดดันจากงาน การเรียน หรือความสัมพันธ์ แต่เมื่อความเครียดนั้นไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสม หรือสะสมมากเกินไป อาจพัฒนาไปสู่ภาวะเครียดสะสมได้
โรคเครียด วิตกกังวล ไม่ได้เป็นเพียงแค่อารมณ์เครียดชั่วคราว แต่คือภาวะที่สมองและร่างกายตอบสนองต่อความกดดันอย่างไม่สมดุล จึงควรได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสมก่อนที่อาการความเครียดจะรุนแรงขึ้น
อาการของโรคเครียดเป็นอย่างไร?
ความเครียดกลายเป็นสิ่งที่แทบทุกคนต้องเผชิญในแต่ละวัน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อสะสมต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการจัดการอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า โรคเครียดสะสม ซึ่งสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ อาการของโรคเครียดสะสมสามารถแสดงออกได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น
- รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย แม้นอนไม่ดึก
- นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกบ่อย
- ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการเกร็งตามร่างกาย
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ไม่มีความสุขกับสิ่งรอบตัว
- ไม่มีสมาธิ ทำงานหรือเรียนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- เบื่ออาหาร หรือกินมากผิดปกติ
- มีความคิดลบกับตัวเอง หรือรู้สึกไร้ค่าโดยไม่รู้ตัว
- หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน อยากอยู่คนเดียวมากขึ้น
- มีอาการทางร่างกายเรื้อรัง เช่น ท้องผูก ปวดท้อง โดยหาสาเหตุไม่เจอ
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคเครียด?
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า โรคเครียดเกิดขึ้นกับคนที่อ่อนไหวง่ายเพียงเท่านั้น แต่ในความจริงแล้ว ทุกคนมีความเสี่ยง หากอยู่ในสภาวะแวดล้อมหรือสไตล์ชีวิตที่ส่งผลต่อจิตใจอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนที่มักมีความเสี่ยงสูง ได้แก่
- พนักงานออฟฟิศหรือคนทำงานที่ต้องรับผิดชอบสูง เพราะต้องจัดการงานหลายอย่างพร้อมกัน หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความกดดันตลอดเวลา
- นักเรียนหรือนักศึกษา ที่มีความเครียดจากการเรียน การสอบ และความคาดหวังจากครอบครัว จึงทำให้เกิดโรคเครียด โรคซึมเศร้าได้ง่าย
- เจ้าของกิจการหรือฟรีแลนซ์ ที่ต้องจัดการหลายบทบาทในคนเดียว ทั้งวางแผน รับผิดชอบ และดูแลการเงิน
- ผู้ที่ดูแลผู้อื่นเป็นหลัก เช่น พ่อแม่ แม่บ้าน หรือผู้ดูแลผู้ป่วย ที่ต้องรับภาระทางอารมณ์และร่างกายอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ที่เคยมีประสบการณ์สะเทือนใจ เช่น การสูญเสีย การเจ็บป่วย หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
- ผู้ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว หรือไม่มีระบบสนับสนุนทางใจที่ดี เพราะความรู้สึกโดดเดี่ยวอาจเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดโรคเครียดได้ง่ายกว่าปกติ
การรักษาโรคเครียดทำได้อย่างไร?
โรคเครียดสามารถรักษาได้ หากรู้จักวิธีดูแลตัวเองและเข้ารับการรักษาโดยจิตแพทย์อย่างถูกต้อง ซึ่งแนวทางในการรักษาโรคเครียดมีหลายแบบ เช่น
- การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ เริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดการใช้โซเชียลมีเดียหรือสิ่งกระตุ้นความเครียด
- การพูดคุยหรือบำบัดทางจิตใจ (Psychotherapy) เช่น การทำ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของตนเอง เพื่อหาทางรับมือกับปัญหาอย่างเหมาะสม
- การใช้ยา ในกรณีที่อาการของโรคเครียดอยู่ในระดับที่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาใช้ยา เช่น ยาคลายเครียด หรือยาต้านซึมเศร้า ร่วมกับการบำบัด เพื่อช่วยให้อาการเครียด วิตกกังวลดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
- การฝึกสติ (Mindfulness) และสมาธิ เป็นวิธีที่ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความฟุ้งซ่าน และอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งมีผลดีต่อผู้ที่เผชิญกับความเครียดเรื้อรัง
- การพูดคุยกับคนใกล้ตัว เพราะการได้ระบายความรู้สึกหรือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือเพื่อนสนิท เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดภาวะตึงเครียดได้ดี
ทำความเข้าใจ “โรคเครียด” ให้ชัด เพื่อดูแลใจให้แข็งแรง
ในปัจจุบันความเครียดได้กลายเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และเมื่อความเครียดเหล่านั้นถูกสะสมโดยไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม ก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะที่เรียกว่า โรคเครียดเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบได้ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
โรคเครียด ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเครียดธรรมดา แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมความเครียดจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ รวมถึงปัญหาทางร่างกาย เช่น ปวดหัวเรื้อรัง หรืออาการเจ็บป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อ โรคเครียด ได้แก่ คนทำงานที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบสูง นักเรียน นักศึกษา ผู้ดูแลคนอื่น ผู้ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว หรือแม้แต่คนที่เคยผ่านประสบการณ์สะเทือนใจ
อย่างไรก็ตาม โรคเครียดรักษาได้ผ่านการปรับไลฟ์สไตล์ การบำบัดทางจิตใจ การฝึกสติ และการใช้ยา อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือการเปิดใจขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือผู้เชี่ยวชาญ การรู้เท่าทันโรคเครียด และใส่ใจดูแลสุขภาพจิตของตัวเองตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญในการมีชีวิตที่สมดุล มีความสุข และมีพลังในการเผชิญกับทุกปัญหาในชีวิต
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
ไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
เลขเด่นงวดต้นปี: เจาะลึกคำชะโนดและสำนักดัง 2/1/69
เลขเด็ด "มนต์สิทธิ์" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว! ..ส่องเลย เลขไหนที่ชอบ!
ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่
วิมานบนดินที่ไร้เงาเจ้าของ เจาะปมคฤหาสน์ลอยฟ้า 658 ล้านที่กลายเป็นเพียงอนุสรณ์แห่งความล้มเหลว
ย้อนดูประวัติ AI จากแนวคิดสู่เทคโนโลยีที่ใช้จริงในปัจจุบัน
รูปถูกลิขสิทธิ์ สำคัญแค่ไหนกับงานคอนเทนต์และการตลาด
สัญญาณผิวเริ่มเปลี่ยน อ่านให้ขาดเรื่องริ้วรอย และวางแผนดูแลให้ผิวดูสดใส
เลือกยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดให้ตรงปัญหา เปรียบเทียบ Oligio และ Volnewmer แบบเข้าใจง่ายก่อนตัดสินใจ

