โรคแพนิค (Panic Disorder) ทุกข์ทรมานแค่ไหน
โรคแพนิค Panic Disorder คือ โรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง เรียกว่า โรคตื่นตระหนก ผู้ที่เป็นมักมีความรู้สึกกลัว ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แบบไม่คาดคิดมาก่อน และ เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน มักมีความกังวลว่าจะเป็นขึ้นมาอีก
อาการแพนิคสามารถแบ่งกลุ่มแบบง่าย ๆ ดังนี้
1.สมอง อาการโคลงเคลง วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม คุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย หรือจะเป็นบ้า
2.หัวใจ อาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น รู้สึกใจเต้นเร็ว
3.ปอด รู้สึกหายใจไม่สะดวก หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่เข้า (Shortness of breath) จุกแน่นในอก
4.ทางเดินอาหาร อาการคลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง
5.ต่อมเหงื่อ มีเหงื่อออกมาก เหงื่อออกตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า รู้สึกชา ร้อนวูบวาบ ตัวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้
อาการแพนิคกำเริบ ทำไมรู้สึกทุกข์ทรมาน
เพราะอาการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ผู้ป่วยแพนิคจะมีบางอาการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที คาดการณ์ไม่ได้ ไม่เลือกเวลา สถานที่ อาการที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างรวดเร็ว รุนแรง คงอยู่เช่นนั้นประมาณ 5-10 นาที ไม่เกิน 30 นาที จากนั้นจะหายเป็นปกติ
ผู้ป่วยอาจต้องทุกข์ใจ สับสน เพราะผลตรวจทางร่างกายกลับบ่งชี้ว่า ตรวจไม่พบความผิดปกติ ผู้ป่วยบางรายกังวลว่าจะเกิดอาการ Panic attack ซ้ำอีก จนไม่กล้าไปไหน ไม่กล้าอยู่ตามลำพัง จนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เรียกว่า “Agoraphobia”
วิธีการรักษา - ดูแลตัวเอง - ดูแลคนรอบข้าง เมื่อเผชิญโรคแพนิค
1.ถ้าอาการแพนิคกำเริบ ผู้ป่วยควรทำอย่างไร
- ต้องไม่ตกใจกลัวพยายามคิดว่าอาการแพนิคที่เป็นนั้น รุนแรงแต่ไม่อันตราย บอกกับตัวเองว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว สามารถหายได้และไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต
- พยายามควบคุมอาการแพนิคด้วยตัวเอง นั่งทำใจให้สงบ ควบคุมการหายใจ หายใจเข้า – ออกลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ โดยหายใจเข้าให้ท้องป่อง หายใจออกให้ท้องยุบ ในจังหวะที่ช้า ซึ่งจะทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
- ฝึกการคลายกล้ามเนื้อในหากมีอาการปวดศรีษะ หรือปวดตึงกล้ามเนื้อ มั่นฝึกสมาธิ และ ฝึกคิดในทางบวก
- รักษาด้วยยา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคแพนิค ดังนั้นการกินยา เพื่อไปปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองจึงมีความจำเป็น ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 8-12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคของแต่ละบุคคล จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ที่เป็นโรคนี้ สามารถหายขาดได้
2.คนรอบข้างจะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคแพนิคได้อย่างไร
- ตั้งสติไม่ตกใจกับอาการแพนิค ไม่ควรให้ผู้มีอาการอยู่ในที่มีคนหนาแน่น หรือ ให้คนจำนวนมากมุงดูอาการ
- ให้ความมั่นใจว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการแพนิคจนสงบลงได้ด้วยตนเอง ไม่อันตราย อาการจะเป็นชั่วคราว
- ใจเย็น อดทนไม่วิพากษ์วิจารณ์ พูดให้กำลังใจ “เข้าใจว่าเกิดอาการขึ้นจริง ไม่ได้คิดไปเอง ค่อย ๆ ตั้งสติ”
- พูดคุยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายหายใจเข้า-ออก ช้า ๆ วางมือไว้บนหน้าท้อง เพื่อให้รู้สึกถึงการหายใจ จะได้หายใจง่ายขึ้น
- เสนอตัวช่วยเหลือเช่น “มีอะไรที่เราช่วยได้บ้างไหม” “อยากเปลี่ยนไปนั่งที่ที่สบายกว่านี้ไหม” หากผู้ป่วยยังรู้สึกไม่สบายใจ ทำใจให้สงบลงได้ยาก
ผู้ป่วยโรคแพนิคควรดูแลตนเอง ฝึกทำสมาธิ กำหนดลมหายใจ คิดบวก อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารที่อาจกระตุ้นอาการแพนิค เช่น ชา กาแฟ สุรา เครื่องดื่มชูกำลัง แม้อาการดีขึ้นก็ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอ ห้ามหยุดกินยาเร็วกว่ากำหนด เพราะอาการแพนิคเกิดจากสารเคมีในสมองเสียสมดุล ต้องใช้ยาเพื่อช่วยสารเคมีเหล่านั้นกลับมาสมดุลขึ้น










