ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม? รวมข้อควรรู้ก่อนฉีด ต้องระวังอะไรบ้าง?
ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม? รวมข้อควรรู้ก่อนฉีด ต้องระวังอะไรบ้าง?
ฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่มีการพักฟื้น อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของการฉีดฟิลเลอร์ บทความนี้จะช่วยอธิบายถึงความเสี่ยงและวิธีป้องกันอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมได้อย่างมั่นใจ
ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือการเติมสารเข้าไปในผิวหนังเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ริ้วรอย ร่องลึก หรือปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้คือ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติในร่างกายและสามารถสลายตัวได้ จึงไม่เป็นอันตรายและไม่เกิดการตกค้างในผิว
ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม?
ฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยหากทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ และใช้ฟิลเลอร์แท้จาก Hyaluronic Acid (HA) ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เนื่องจากฟิลเลอร์ประเภทนี้สามารถสลายตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือทำโดยผู้ที่ไม่มีความรู้ความชำนาญ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ อาการแพ้ หรือแม้กระทั่งตาบอด ดังนั้น ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อไม่เสี่ยงอันตราย
หลังฉีดฟิลเลอร์ มีอาการอย่างไร?
หลังฉีดฟิลเลอร์อาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อยที่หายไปเองภายในไม่กี่วัน ได้แก่
- อาการบวม: เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายหรือเข็มฉีด มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์
อาการปวดตึง: รู้สึกตึงหรือปวดเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด มักหายภายใน 1 สัปดาห์ - รอยฟกช้ำ: เกิดจากเข็มกระทบเส้นเลือดฝอย มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์
หลังฉีดฟิลเลอร์ มีผลข้างเคียงอันตรายอย่างไร?
ผลข้างเคียงอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ส่วนใหญ่เกิดจากฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลวหรือพาราฟิน รวมถึงการฉีดโดยผู้ไม่มีความชำนาญ อาการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- เนื้อตาย (Necrosis): เกิดจากการอุดตันในเส้นเลือด ส่งผลให้เซลล์ขาดออกซิเจน ผิวสีซีดหรือม่วงคล้ำ อาจนำไปสู่แผลเป็นหรือลุกลามหากไม่รักษาทัน
- ตาบอด (Blindness): หากฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับตา อาจทำให้ขาดออกซิเจนและตาบอดถาวร หากพบอาการตาพร่ามัวหรือปวดตา ควรพบแพทย์ทันที
- ติดเชื้อ (Infection): เกิดจากเครื่องมือไม่สะอาดหรือฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้มีอาการบวมแดง ปวด และหนองไหล
- แพ้ฟิลเลอร์ (Allergy): การแพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ โดยเฉพาะซิลิโคนเหลวหรือพาราฟิน อาจมีอาการบวมแดง ผื่นคัน หรือหายใจลำบาก
- ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง (Lumps): เกิดจากเทคนิคการฉีดไม่ถูกต้อง ทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนัง อาจเกิดอาการปวดและอักเสบร่วมด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.romrawinclinic.com/blogs/filler-dangerous
ฉีดฟิลเลอร์ บริเวณไหนมีความเสี่ยง?
การฉีดฟิลเลอร์แม้จะปลอดภัย แต่หากฉีดในบริเวณที่มีเส้นเลือดสำคัญ อาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เนื้อตายหรือตาบอดได้ โดยบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่:
- จมูก: เป็นจุดที่มีเส้นเลือดเชื่อมต่อกับดวงตา หากฉีดผิดตำแหน่งอาจเกิดอุดตันในเส้นเลือด
- หน้าผาก: มีเส้นเลือดหลายเส้นที่เชื่อมต่อกับดวงตา การฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดอันตราย
- ร่องแก้ม: หากฉีดโดยไม่ระมัดระวังอาจเกิดการอุดตันในเส้นเลือด
- ระหว่างคิ้ว: บริเวณนี้มีเส้นเลือดเชื่อมต่อกับดวงตา การฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
การเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉีดฟิลเลอร์.
วิธีสังเกตอาการหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรสังเกตอาการดังนี้ หากพบอาการผิดปกติ ควรพบแพทย์ทันที:
- ไม่สามารถแสดงสีหน้าได้ปกติหลังยาชาหมดฤทธิ์
- ปวดศีรษะ, คลื่นไส้, อาเจียน, หรือแขนขาอ่อนแรง
- ตาพร่า หรือมองเห็นไม่ชัดเจน
- ผิวหนังเปลี่ยนสีบริเวณที่ฉีด
- มีแผลหรือตุ่มหนองบริเวณที่ฉีด
- ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ดีขึ้น
- บวมแดงผิดปกติที่บริเวณฉีด
เลือกฉีดฟิลเลอร์อย่างไรให้เหมาะสม?
ในการเลือกทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรพิจารณาดังนี้:
- เลือกฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับ อย. เช่น Juvederm, Restylane, Belotero เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
- เลือกแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อประเมินสภาพผิวและใช้เทคนิคที่แม่นยำ
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตและความสะอาด รวมถึงมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์เพื่อป้องกันผลข้างเคียงมีดังนี้:
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์อย่างละเอียด
- งดยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมหักโหม
- งดทำทรีตเมนต์ เลเซอร์ หรือการขัดผิว
- ดื่มน้ำมาก ๆ และนอนหลับเพียงพอ
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ ควรปฏิบัติตัวดังนี้:
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดบวม
- นอนยกศีรษะสูงเพื่อป้องกันการบวม
- ดื่มน้ำมาก ๆ และนอนหลับเพียงพอ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดผลข้างเคียง:
- หลีกเลี่ยงการจับหรือกดใบหน้าแรง ๆ
- งดแต่งหน้าในวันแรก
- งดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และออกกำลังกายหนัก
- หลีกเลี่ยงความร้อน แสงแดดจัด
- งดอาหารดิบ หมักดอง และรสจัด
- งดสครับ ขัดผิว หรือแว็กซ์บริเวณที่ฉีด
- หลีกเลี่ยงการนอนกดทับใบหน้า
วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์แท้
- กล่องต้องซีลสนิท ไม่มีรอยแกะหรือบุบสลาย
- ตรวจเลข อย. บนกล่อง และเช็กผ่านเว็บไซต์ อย.
- มีเอกสารกำกับภาษาไทย ข้อมูลต้องชัดเจน ครบถ้วน
- เลข Lot. ต้องตรงกัน ทั้งบนกล่อง ซอง และหลอด
- สอบถามกับบริษัทผู้นำเข้า เพื่อยืนยันความถูกต้อง
วิธีแก้ไขปัญหาจากฟิลเลอร์แท้
- ฉีดสลายด้วยเอนไซม์
ใช้ Hyaluronidase สลายฟิลเลอร์แท้ประเภท HA ได้อย่างปลอดภัย ไม่ทิ้งสารตกค้าง (ใช้ไม่ได้กับฟิลเลอร์ปลอม)
- ผ่าตัดหรือขูดออก
ใช้ในกรณีฟิลเลอร์ปลอม เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน ซึ่งไม่สามารถสลายเองได้ มีความเสี่ยงและอาจนำออกได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์
- ย่อยสลายได้เอง ไม่ตกค้าง ลดเสี่ยงก้อนแข็งหรือเนื้อตาย
- ฉีดสลายได้ หากไม่พอใจผลลัพธ์
- แก้ปัญหาได้ตรงจุด ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- ฉีดได้หลายบริเวณ เช่น ใต้ตา ริมฝีปาก คาง ร่องแก้ม
- เห็นผลทันที เหมาะสำหรับผู้ต้องการใช้หน้าเร่งด่วน
- ฉีดไว ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ฟิลเลอร์แท้ผ่าน อย. มีอะไรบ้าง?
- Juvederm – สหรัฐอเมริกา
- Restylane – สวีเดน
- Belotero – สวิตเซอร์แลนด์
- Neauvia – อิตาลี
- Definisse – อิตาลี
- Art Filler – ฝรั่งเศส
- Volifil – เกาหลี
ฟิลเลอร์ไม่อันตราย หากใช้ของแท้ผ่าน อย. และฉีดโดยแพทย์ เพราะช่วยแก้ปัญหาผิวและคืนความอ่อนเยาว์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่หากฉีดกับผู้ไม่มีความชำนาญ หรือใช้ของปลอม อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงรุนแรง ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลและเลือกอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

















