ลดน้ำหนักก่อนหรือทำศัลยกรรมก่อน? ข้อคิดก่อนคิดดึงหน้า
ปัจจุบันการศัลยกรรมดึงหน้ามีทั้งการผ่าตัดดึงหน้าแบบเปิด และการส่องกล้องดึงหน้า ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักคร่าวๆ ถึงข้อดีข้อเสียกันก่อน
1.ผ่าตัดดึงหน้าแบบเปิด (Traditional Facelift)
ข้อดี:
• ดึงผิวและชั้นกล้ามเนื้อได้มาก เห็นผลชัดเจน เหมาะกับอายุ 50 ปีขึ้นไป
• เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนมาก แก้ปัญหาได้ทั่วทั้งใบหน้า
• ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า (ประมาณ 8-10 ปี)
ข้อเสีย:
• แผลใหญ่กว่า อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
• มีรอยแผลเป็นมากกว่า (แต่ซ่อนได้ดีตามไรผม/หลังใบหู)
• บวมช้ำมากกว่าส่องกล้อง / ราคาสูง
2. การส่องกล้องดึงหน้า (Endoscopic Facelift)
ข้อดี:
• แผลเล็กกว่า ฟื้นตัวไวกว่า บวมช้ำน้อย
• เหมาะกับคนที่เริ่มมีริ้วรอยหรือผิวหย่อนเล็กน้อยถึงปานกลาง
• มีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด และเหมาะกับอายุประมาณ 35-50 ปี
ข้อเสีย:
• ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่าผ่าตัดเปิดในกรณีที่ผิวหย่อนคล้อยมาก
• ต้องใช้ศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
• ราคาอาจสูงใกล้เคียงกับการผ่าตัดแบบเปิด เพราะใช้เทคโนโลยีมาก
❌ ประเด็นสำคัญที่หลายคนมองข้าม — ถ้าผ่าตัดดึงหน้าตอนที่ยังอ้วน แล้วภายหลังผอมลง ใบหน้าที่ผ่านศัลยกรรมดึงหน้า อาจมีปัญหาได้ ในบางกรณีได้ ส่วนใหญ่คนมักคิดไม่ถึงกัน
ผลกระทบของการลดน้ำหนักภายหลังการดึงหน้า (ทั้งแบบผ่าตัดและส่องกล้อง)
1. ผิวอาจกลับมาหย่อนอีกครั้ง
เพราะเวลาน้ำหนักลด ไขมันบนใบหน้าจะลดลง ทำให้ผิวที่เคยถูกดึงตึง อาจดูหย่อนคล้อยอีกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณแก้ม คาง เหนียง
2. ผลลัพธ์ของการดึงหน้าอาจเสียสมดุล
เช่น บางจุดดูตึง บางจุดกลับดูยวบหรือแห้งตอบ เพราะปริมาณไขมันใต้ผิวเปลี่ยนแปลงไป ทำให้โครงหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
3. อาจต้องแก้ไขเพิ่มเติม (Revision Facelift)
ในบางรายที่น้ำหนักลดมากเกินไป อาจต้องทำศัลยกรรมซ้ำหรือเติมไขมัน (Fat Grafting) เพื่อให้ใบหน้าดูสมดุลและอ่อนเยาว์ขึ้น
ข้อแนะนำ
• ควรลดน้ำหนักให้ได้ระดับที่ต้องการก่อน แล้วค่อยพิจารณาการผ่าตัดดึงหน้า จะได้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน และไม่ต้องทำซ้ำ
• ถ้ายังมีแพลนจะลดน้ำหนักเยอะๆ (เกิน 5-10 กก.) ควรเลื่อนการทำศัลยกรรมใบหน้าไว้ก่อน
• หลังน้ำหนักคงที่ 3-6 เดือน แล้วผิวหนังเริ่มหย่อนชัดเจน ค่อยประเมินกับหมออีกครั้ง
สาวๆ ที่สนใจทำสวย ก็พิจารณาให้ดีๆก่อน เพื่อความปลอดภัยและความงามที่ต้องการนะคะ
อ้างอิงจาก: google

















