4 ท่านอนผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
การนอน เป็นการพักผ่อนที่ดีและง่ายที่สุด เป็นช่วงเวลาของร่างกายในการซ่อมแซมตัวเอง การนอนที่เหมาะสมจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-7 ชั่วโมง เท่ากับชีวิตคนเราใช้เวลากับการนอนไปถึง 1 ใน 4 ส่วน ในแต่ละวัน
ดังนั้น การนอนในท่าทางที่ถูกต้องและเหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้มีสุขภาพร่างกายโดยรวมที่ดี ไม่มีการบาดเจ็บของระบบกระดูก กล้ามเนื้อ ระบบประสาทในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก่อนวัยอันควร ในทางกลับกัน บางคนอาจจะเคยสงสัย ทำไมยิ่งนอนยิ่งเมื่อย นั่นอาจเป็นเพราะการนอนผิดท่า หรือ นอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงเครื่องนอนอาจไม่เหมาะสม คือ นิ่มหรือแข็งจนเกินไป
ท่าที่ 1: การนอนขดตัวคุดคู้ คือ การนอนที่มีการก้มศีรษะ โก่งหลัง พับสะโพก งอเข่า เป็นท่านอนที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเนื่องจากก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในหลากหลายแง่มุม
การนอนท่านี้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง ดังนี้
- ปวดเข่า เอ็นบริเวณเข่า สะโพก เกิดการอักเสบเนื่องจากมีการพับงอของข้อสะโพก และ ข้อเข่า เป็นระยะเวลานาน
- กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างอักเสบและปวด เนื่องจากมีการโก่งงอของหลัง ทำให้กล้ามเนื้อหลังถูกยืดเหยียดออกจนตึง
- กระดูกสันหลังมีการบิดโก่งงอผิดรูป
- ปวดคอจากกล้ามเนื้ออักเสบ เนื่องจากการนอนมีการก้มคอค้างไว้ทำให้กล้ามเนื้อคอตึง และ ยังไปเพิ่มแรงดันต่อหมอนรองกระดูกสันหลังช่วงคอ
- หากผู้ป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับประสาทอยู่แล้ว การนอนในท่าที่ผิดสุขลักษณะอย่างเช่น ท่านอนขดตัวคุดคู้นี้ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้นได้
ท่าที่ 2: การนอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการนอนคว่ำจะทำให้ผู้นอนหายใจไม่สะดวก กระดูกสันหลังแอ่นมากกว่าปกติ ขณะที่นอนก็ต้องมีการบิดคอไป ทางซ้าย หรือ ทางขวา รวมถึงมีการแอ่นไปข้างหลัง จึงอาจก่อให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อคอ เกิดอาการปวดคอ ปวดหลัง
ท่านอนคว่ำจึงเป็นท่านอนที่ไม่ควรทำเท่าไหร่นัก แต่หากจำเป็นต้องนอนท่านี้ แนะนำให้ทำได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยแนะนำให้หาหมอนมารองช่วง หน้าอก หรือ ช่วงท้อง จะทำให้นอนได้สบายยิ่งขึ้น
ท่าที่ 3: การนอนแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน โดยที่มีหมอนรองที่หลังเอาไว้ แล้วนอนเอนหลังและไถลตัวไปบนเตียงนอน หรือ โซฟา พร้อมกับเล่นโทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ที่นอนท่านี้ต้องงอ หรือ ก้มคอเป็นระยะเวลานาน
หากทำเป็นประจำ จะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอและหลังทำงานมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและปวดกล้ามเนื้อคอบ่าไหล่ขึ้นมาได้ รวมถึงสามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง จากการที่มีการแอ่นของหลังขณะนั่ง
ท่าที่ 4: การนอนทับต้นแขนตัวเอง เป็นบริเวณที่มีเส้นประสาท (Radial Nerve) อยู่ เป็นเวลานาน โดยอาจเกิดจากการทับของศีรษะ หรือ การพาดแขนบนพื้นผิวต่าง ๆ เช่น พนักเก้าอี้ พอเส้นประสาทถูกกดทับนาน ๆ จึงก่อให้เกิดอาการทางระบบประสาทตามมา
ที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการข้อมือตก ทำให้กระดกข้อมือไม่ขึ้น อาการข้อมือตกจากการถูกกดทับของเส้นประสาทเรเดียน (Radial Nerve) นี้ เรียกว่า Saturday night palsy หรือ Honeymoon palsy ส่วนใหญ่แล้วอาการมักไม่ร้ายแรง สามารถหายเองได้ ซึ่งระยะเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ส่วนมากแล้วจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์
ในระหว่างที่รอเส้นประสาทหายดีนี้ แพทย์จะให้มีการออกกำลังกายกล้ามเนื้อบริเวณมือ ข้อมือ และแขนท่อนล่าง เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อลีบ และ การเกิดข้อติดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย ภาวะ Saturday night palsy or Honeymoon palsy แรกเริ่มเกิดจากผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หนักจนเมาพับและนอนหลับลึกฟุบไปกับโต๊ะ โดยที่วางศีรษะทับต้นแขนไว้ หรืออาจเกิดจากการที่คู่รักนอนหนุนแขนของอีกฝ่ายตลอดทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาแล้วจึงพบว่าข้อมือตก ยกไม่ขึ้น
นอกจากท่านอนแล้ว ปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวกับการนอนก็สำคัญ
1.เครื่องนอน ควรเลือกเครื่องนอนให้เหมาะกับสรีระของผู้นอน ปัจจุบันมีเครื่องนอนมากมายหลายแบบที่ถูกพัฒนาเพื่อรองรับสรีระ และ นิสัยการนอนที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล ดังนั้นการเลือกเครื่องนอนที่เหมาะจะช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บจากการนอนได้มากยิ่งขึ้น
2.สภาพแวดล้อมระหว่างการนอน การนอนที่ดี นอกจากท่านอน อุปกรณ์ที่ช่วยในการนอนแล้ว สภาพแวดล้อมถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะ การหลับสนิทจะทำการให้การพักผ่อนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การนอนควรเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก แสงสว่างน้อยหรือมืดสนิท ไม่มีเสียงดังรบกวนขณะกำลังนอนหลับ ซึ่งอาจจะใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ผ้าปิดตา ที่อุดหู เพื่อช่วยให้สามารถนอนหลับสนิทได้ดียิ่งขึ้น














