การแพ้ขนแมว เรื่องที่ทาสแมวควรรู้
การแพ้ขนแมว เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่มาจากน้ำลาย และ ผิวหนังของแมว เพราะสารก่อภูมิแพ้อาจติดมากับขนแมวขณะที่แมวเลียขนตัวเอง แล้วขนก็อาจจะลอยขึ้นไปในอากาศ ซึ่งเมื่อคนนั้นสูดดมสารดังกล่าวเข้าไปก็อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เพราะอนุภาคของสารก่อภูมิแพ้ในสัตว์เลี้ยงนั้นสามารถติดไปกับเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์และที่นอน นั่นก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ไม่ได้เลี้ยงแมวก็อาจจะมีอาการแพ้ขนแมวได้เช่นกัน
อาการแพ้ขนแมว
1.จะเกิดอาการบวม และ อาการคันของเนื้อเยื่อรอบดวงตา กับ จมูก มักจะนำไปสู่การอักเสบของดวงตา จามบ่อย น้ำมูกไหล
2.มีผื่นที่ใบหน้า คอ หรือ หน้าอกส่วนบน นอกจากนี้บางคนจะรู้สึกคันจมูก จามบ่อย น้ำมูกไหล
3.ระคายคอหลังจากสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ดังกล่าวจากแมว
4.ผู้ที่เป็นโรคหืด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแมว เพราะมีโอกาสที่อาการจะรุนแรงขึ้น ในกรณีที่สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในขนแมวหลุดเข้าไปในหลอดลม สารก่อภูมิแพ้จะไปกระตุ้นแอนติบอดี้บางชนิดบนผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางสายพันธ์ ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก ไอ หายใจเสียงดัง วี้ด ๆ ซึ่งเป็นอาการกำเริบของโรคหืดเฉียบพลัน อีกหนึ่งสาเหตุของโรคหอบหืดเรื้อรังอีกด้วย มีข้อมูลว่า 30% ของผู้ที่เป็นโรคหืด อาจจะมีอาการหนักขึ้นเมื่อสัมผัสกับแมว
การตรวจวินิจฉัยอาการแพ้ขนแมว มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
1.การทดสอบทางเลือด
2.การทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีการสะกิด (Skin prick test) จะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีแรก
ยาบางชนิดที่คนไข้กินอาจรบกวนต่อการทดสอบผิวหนัง ดังนั้นควรปรึกษาอายุรแพทย์โรคภูมิแพ้ก่อนการทดสอบ
รักษาภูมิแพ้ขนแมว
1.การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์ เป็นการรักษาที่ดีที่สุด
2.ใช้ยารักษาตามชนิดของโรคที่เกิดจากภูมิแพ้สัตว์ ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น โรคเยื่อบุจมูกหรือตาอักเสบ หอบหืด ผื่นผิวหนังอักเสบ ผื่นลมพิษบวม
3.ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อชะล้างสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคืองที่ติดในโพรงจมูก
4.ฉีดวัคซีนภูมิแพ้ ในกรณีที่หลีกเลี่ยงสัตว์ไม่ได้ เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
วิธีป้องกันอาการแพ้ขนแมว
1.หลีกเลี่ยงการเลี้ยงแมวในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน
2.ล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสแมว
3.ถ้าในบ้านมีการปูพรม ควรนำพรมออก เพื่อลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้และขนแมว
4.ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน
5.หมั่นล้างทำความสะอาดไส้กรองแอร์ และเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนด
6.ดูดฝุ่นภายในบริเวณบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง รวมถึงของเล่นและที่นอนของแมว ควรใช้หน้ากากปิดจมูกขณะปัดฝุ่น ทำความสะอาด
7.เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากหนังไม่ควรทำจากผ้า เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด
8.อาบน้ำให้แมวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แปรงขนให้แมวทุกวัน เพื่อลดเศษขนและฝุ่นละอองที่สะสมไว้
9.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 150 นาที เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
10.สำหรับผู้ที่เป็นโรคหืด ให้ใช้ยาพ่นจมูกหรือยาพ่นทางคอ เพื่อช่วยป้องกันอาการกำเริบ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแพ้ให้เร็วที่สุด
ก่อนที่จะเลี้ยงสัตว์อะไร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด ควรศึกษาหาข้อมูลของสัตว์แต่ละประเภทให้ดี เพื่อจะได้เข้าใจธรรมชาติของสัตว์ต่างๆ เหล่านั้น และ มั่นใจได้ว่าจะเลี้ยงเขาให้ดี มีความสุขได้ เพราะเราเองก็จะได้ความสุขจากการเลี้ยงเขาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญถ้าคิดจะเอาเขามาเลี้ยง ก็ควรเลี้ยงด้วยความรับผิดชอบ ไม่ควรทิ้งๆ ขว้างๆ ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นภาระของผู้อื่น














